หากเราพูดถึงเปลือกกล้วย โดยส่วนใหญ่เราจะทิ้งมากกว่าที่จะนำมาบริโภค แต่แท้จริงแล้วเปลือกกล้วยนั้นสามารถรับประทานได้ ทั้งยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย เช่น โพแทสเซียม ใยอาหาร ไขมันไม่อิ่มตัว และกรดอะมิโนจำเป็น โดยเฉพาะใยอาหารทำให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับคงที่ ขณะที่โพแทสเซียมในเปลือกกล้วยช่วยให้ความดันเลือดเป็นปกติอยู่เสมอ ป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุน ลดความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในไต และกระตุ้นการทำงานของหัวใจ
จากงานวิจัยพบว่า เปลือกกล้วยมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) และเมื่อเทียบกับเปลือกกล้วยสุกพบว่า เปลือกกล้วยดิบมีจำนวนสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติในการลดการเกิดแผลอักเสบและป้องกันการเกิดอาการโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน
นอกจากนี้เปลือกกล้วยยังมีวิตามินเอและลูทีน ซึ่งเสริมสร้างสุขภาพตาของเราให้ดีขึ้น ป้องกันต้อกระจกและภาวะจอประสาทตาเสื่อมได้ ส่วนทริปโตเฟนและเซโรโทนินในเปลือกกล้วยก็เป็นฮอร์โมนที่มีผลต่ออารมณ์ ช่วยให้อารมณ์ดี
เปลือกกล้วยสามารถรับประทานได้ก็จริง แต่อย่าลืมว่าเปลือกกล้วยอาจจะมียากำจัดศัตรูพืชอยู่ ซึ่งทำให้เกิดโรคหรืออาการต่าง ๆ ได้ เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ดังนั้น หากจะรับประทานเปลือกกล้วยควรเลือกกล้วยที่เป็นกล้วยออร์แกนิก และก่อนรับประทานควรล้างก่อนทุกครั้งเพื่อป้องกันพิษจากยากำจัดศัตรูพืช
ขณะที่เนื้อของกล้วยนั้นทั้งหวานและนุ่ม แต่เปลือกของมันกลับหนา เส้นใยเยอะ และออกจะขมนิด ๆ ดังนั้น การรับประทานเปลือกกล้วยจึงอาจจะเป็นเรื่่องแปลกสำหรับหลาย ๆ คน แต่เปลือกกล้วยอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ดังนั้น การรับประทานเปลือกกล้วยที่เส้นใยเยอะและขม ก็อาจเป็นความคุ้มค่าที่จะแลกมา
โดยหากจะเริ่มรับประทานเปลือกกล้วย ควรล้างให้สะอาดก่อนทุกครั้ง และเริ่มรับประทานเปลือกของกล้วยสุก เนื่องจากเปลือกนั้นจะบางและหวานกว่ากล้วยดิบ ทำให้รับประทานได้ง่าย
สาเหตุที่เปลือกของกล้วยสุกหวานกว่าเปลือกของกล้วยดิบ เนื่องจากฮอร์โมนพืชที่เรียกว่า เอทิลีน (ethylene) ที่ผลไม้หลั่งออกมาเมื่อสุก ซึ่งจะสัมพันธ์กับน้ำตาลและใยอาหารในเปลือกกล้วยด้วย
สำหรับวิธีการรับประทานอื่น ๆ อาจนำไปปั่นเป็นสมูทตี้ ทอด อบหรือต้ม ตามสะดวก โดยใช้เวลาอย่างน้อย 10 นาที ความร้อนจะทำให้เส้นใยคลายออกจากกัน ซึ่งจะเคี้ยวและย่อยได้ง่ายขึ้น