ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการที่แตกต่างกัน โดยความผิดปกตินี้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 7 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่สมองเจริญเติบโตเต็มที่ และจะไม่ถูกทำลายไปมากกว่านี้ แต่หากไม่ได้รับการรักษา จะทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ยึดหรือเกร็งมากขึ้น
สาเหตุของโรคเกิดได้ในช่วงระหว่างตั้งครรภ์ ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด ดังนี้
• ระหว่างตั้งครรภ์ ในกรณีนี้อาจเกิดจากาการติดเชื้อจากแม่ เช่น แม่เป็นโรคหัดเยอรมันหรือโรคติดเชื้อไวรัสอื่นๆ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไทรอยด์ โรคลมชักชนิดรุนแรง โรคขาดอาหารรุนแรง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนกับมารดาในช่วงตั้งครรภ์ ทำให้ทารกในครรภ์ขาดออกซิเจน เช่น แม่เป็นความดันโลหิตสูง เกิดมีปัญหาระบบหัวใจและหลอดเลือดหรือระบบหายใจ รวมถึงการได้รับบาดเจ็บ อุบัติเหตุ ดื่มเหล้าจัด สูบบุหรี่จัด ได้รับสารพิษ หรือสารกัมมันตรังสี
• ระหว่างคลอด เด็กอาจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ คลอดยาก มีความผิดปกติของการคลอด เช่น รกเกาะต่ำ สมองได้รับการกระทบกระเทือน อาจมีเลือดออกในสมองขณะคลอด หรือคลอดก่อนกำหนด
• หลังคลอด มีภาวะตัวเขียวหลังคลอด ต้องอยู่ในตู้อบเกิน 4 สัปดาห์ มีภาวะดีซ่านชนิดรุนแรงที่เกิดขึ้นหลังคลอดในช่วงสัปดาห์แรก เด็กมีการติดเชื้อในช่วงสัปดาห์แรก โดยเฉพาะโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และโรคสมองอักเสบจากไวรัส สมองขาดออกซิเจน เกิดอุบัติเหตุหรือกระทบกระเทือนกับสมองโดยตรง เช่น รถชน รถคว่ำ พลัดตกจากที่สูง ถูกจับเขย่าตัวแรง ๆ เป็นต้น
คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการของลูกได้ว่ามีความเสี่ยงในการเป็นโรคสมองพิการหรือไม่ โดยเริ่มจากการศึกษาอ่านหนังสือเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็ก เพื่อดูว่าในแต่ละเดือน แต่ละช่วงอายุ เด็กต้องมีพัฒนาการความสามารถด้านใดเพิ่มเติมขึ้นบ้าง จากนั้นก็เริ่มสังเกตว่าลูกของตนมีพัฒนาการเป็นอย่างไร
ซึ่งปกติแล้วจะในช่วงเด็กแรกเกิดสังเกตได้ยาก แต่เมื่อผ่านไปสักพักอาจสังเกตได้ชัดขึ้น เช่น เมื่ออายุได้ 3-4 เดือน เด็กที่เป็นโรคนี้จะมีอาการคอพับคออ่อน คอไม่แข็งเหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน หรือเมื่อเริ่มหัดเดิน จะมีอาการเดินเขย่งเท้าหรือเดินได้ช้า
และอีกหนึ่งจุดที่สามารถสังเกตได้ชัดเจน คือ ส่วนขา เด็กที่เป็นโรคสมองพิการยิ่งโต ขายิ่งเกร็งมากขึ้น เท้าบิด หัวเข่าหมุนบิดเข้าด้านใน สะโพกหนีบเกร็ง ก้นยื่น หลังแอ่น ตัวเอียงไปด้านหน้า เวลาเดินจะก้าวสั้น ๆ ล้มง่าย เด็กบางคนมือจะกาง ข้อศอกงอ ข้อมืองอ นิ้วมืองอ อาการเกร็งผิดรูปนี้จะแสดงให้เห็นได้ชัดยิ่งขึ้น เมื่อเด็กตื่นเต้น ตกใจ ดีใจ โกรธ หากสังเกตแล้วไม่แน่ใจควรพาไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
1. พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากสงสัยว่าลูกของตนเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองพิการ ให้รีบพาไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อปรึกษาหาวิธีการรักษาต่อไป
2. ทำกายภาพบำบัด เพื่อป้องกันการผิดรูปของข้อต่าง ๆ อาจใช้เครื่องช่วยเดิน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อป้องกันการเกร็งของกล้ามเนื้อ และปรับสมดุลของร่างกายให้ดีขึ้น รวมถึงฝึกพูด แก้ไขความผิดปกติเกี่ยวกับสายตาและการได้ยิน
3. ดูแลอย่างใกล้ชิด พ่อแม่ต้องควรดูแลและะปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง พยายามให้เด็กสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากที่สุด กระตุ้นเด็กให้เกิดการเรียนรู้ จากการเล่น การเคลื่อนไหว การออกเสียง
4. ใช้ยา โดยยาที่ใช้เพื่อควบคุมอาการเกร็ง อาการสั่น อาการชัก ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายชนิด
5. การผ่าตัด บางรายอาจต้องได้รับการผ่าตัด เพื่อแก้ไขความพิการที่เกิดขึ้น ซึ่งการผ่าตัดสามารถแบ่งได้เป็น การผ่าตัด ลดความตึงของกล้ามเนื้อ การผ่าตัดย้ายเอ็น และการผ่าตัดกระดูก