เด็กหลายคนมักถูกปลูกฝังและกระตุ้นให้อยากเป็นผู้ชนะ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่ต่างก็คาดหวังให้ลูกประสบความสำเร็จทุกเรื่อง จนลืมไปว่าคนเราไม่อาจจะชนะไปทุกเรื่อง เมื่อถูกปลูกฝังมาว่าต้องชนะอย่างเดียว จึงเห็นเด็กบางคนร้องไห้ฟูมฟายเมื่อพ่ายแพ้ หรือมีพฤติกรรมรุนแรง อาละวาดเมื่อไม่ได้ดังใจ ซึ่งส่งผลมายังตอนโตทำให้ไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้ แสดงออกถึงอารมณ์และพฤติกรรมที่รุนแรงเมื่อผิดหวัง อันนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตและพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม จึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูที่ต้องสอนให้เด็กให้รู้จัก “แพ้ให้เป็น” ตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันรับมือกับความผิดหวังที่จะต้องเจอในอนาคต
อย่ายอมให้ลูกชนะไปหมดทุกครั้งที่เล่นกับลูก คุณพ่อคุณแม่ต้องหัดให้ลูกแพ้บ้าง เพื่อให้ลูกรู้จักยอมรับความเป็นจริงว่าการแข่งขันนั้นก็มีแพ้มีชนะ เพราะในชีวิตจริงไม่มีใครจะยอมอ่อนข้อให้เขาไปหมดทุกครั้ง
การชื่นชมคนอื่นนั้นมีฐานมาจากการยอมรับความสามารถหรือผลงานของผู้อื่น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาตนให้ดียิ่งขึ้นจากการมองเห็นความดีของผู้อื่น คุณพ่อคุณแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการชื่นชมคนอื่นให้ลูกได้ยิน แต่ต้องไม่ชมคนอื่นมากเกินไปจนลูกรู้สึกมีปมด้อย
ด้วยความหวังอยากให้ลูกดีขึ้นกว่าเดิมโดยใช้คนอื่นเปรียบเทียบ ลูกอาจดีขึ้นก็ได้ แต่ความสำเร็จแบบนี้ก็จะได้สิ่งที่น่ากลัวแฝงควบคู่มาด้วย คือความรู้สึกที่ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่เสมอ จะแพ้คนอื่นไม่ได้ ทำให้ชีวิตหาความสุขได้ยาก กรณีครอบครัวที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน คุณพ่อคุณแม่ต้องระมัดระวังความรู้สึกของลูกเสมอ ถ้าจะชื่นชมลูกคนโตก็ควรสอนให้ลูกอีกคนชื่นชมยินดีและให้กำลังใจพี่คนโตด้วย และพยายามทำให้อยู่บนความพอดีพอเหมาะ และไม่ควรนำลูกไปเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น ๆ เพราะเด็กแต่ละคนก็มีความสามารถเฉพาะตัวและมีพื้นนิสัยที่แตกต่างกัน
เด็กที่ได้รับการตามใจจะเคยชินกับความสมหวัง พอผิดหวังหรือแพ้ ก็จะรู้สึกยอมรับความพ่ายแพ้ได้ยาก จึงไม่รู้จักวิธีจัดการกับความผิดหวัง ซึ่งเป็นอันตรายต่อการใช้ชีวิตของลูกอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการควบคุมอารมณ์ วินัย การแสดงออกและความก้าวร้าว ถ้าไม่ให้ลูกผิดหวังบ้าง ลูกก็จะโตมาเป็นคนที่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้เลย ทำให้เขาใช้ชีวิตได้ยากเมื่อโตขึ้น
พ่อแม่ควรถามลูกว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อชนะ ความรู้สึกที่มีความสุขเป็นอย่างไร และลองให้เขานึกกลับว่าถ้าลูกแพ้ล่ะจะรู้สึกอย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อลูกชนะในวันนี้ ก็ควรจะเข้าอกเข้าใจผู้อื่นด้วย อย่าซ้ำเติมหรือทับถมผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการแสดงออกว่าเราเก่งกว่าหรือเหนือกว่า ควรต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วลูกจะเข้าใจความรู้สึกและไม่ยึดติดกับการต้องเป็นผู้ชนะเท่านั้น และเมื่อแพ้ ก็ต้องไม่สิ้นหวัง ต้องมีพลังและทัศนคติที่จะผลักดันให้มีความพยายามในครั้งต่อไป เมื่อลูกเผชิญกับความพ่ายแพ้สิ่งที่พ่อแม่ควรทำเป็นอันดับแรก ทำคือ การพูดคุย ปลอบโยนลูก ให้รู้ว่าลูกมีพ่อแม่เคียงข้างลูกเสมอไม่ว่าลูกจะชนะหรือแพ้ เมื่อลูกอารมณ์ดีและทำใจยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว ให้เอาเรื่องนี้มาคุยกับลูกว่า ในครั้งนี้ ทำไมเราจึงพลาดไป เราควรปรับปรุงตรงไหนบ้าง แล้วให้ลูกพยายามในครั้งต่อไป และให้เขาได้เรียนรู้ว่าทุกครั้งที่ลูกแพ้เป็นภูมิคุ้มกันที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น