บทบาทของเจ้านายฝ่ายในหลายพระองค์ที่ทำหน้าที่ในด้านการจัดทำอาหารสำหรับพระมหากษัตริย์ พระมเหสี และพระเจ้าลูกยาเธอ ที่เรียกว่าพระเครื่องต้น มีมานับตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นอาหารที่มีกำเนิดจากการประดิษฐ์คิดค้นโดยเจ้านายและสตรีชั้นสูง เรียกว่า อาหารชาววัง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กับข้าวเจ้านาย ดังนั้น อัตลักษณ์ ของอาหารชาววังจึงมีความอุดมสมบูรณ์และความสดใหม่ของวัตถุดิบในการประกอบอาหาร มีกรรมวิธีในการทำที่ซับซ้อน ประณีต ต้องใช้เวลาและกำลังผู้คนในการทำจำนวนมาก มีลักษณะของความแปลกแตกต่าง มีความวิจิตรบรรจง รวมถึงมีรสชาติที่นุ่มนวล ไม่เผ็ดมาก มีความกลมกล่อมเป็นหลัก คือมีศิลปะทั้งในแง่ของการเป็นทั้งอาหารปากและอาหารตาโดยองค์ประกอบของอาหารที่เรียกว่า เครื่องเจ้านายในแต่ละมื้อจึงประกอบด้วยประเภทของอาหารที่จัดสำรับขึ้นถวาย ประกอบด้วยเครื่อง ๙ ประเภท ได้แก่ ข้าวเสวย เครื่องคาว เครื่องเคียงแกง เครื่องเคียงแขก เครื่องเคียงจิ้ม เครื่องเคียงเกาเหลา เครื่องหวาน เครื่องเคียงหวาน เครื่องเคียงผลไม้ ซึ่งในการจัดสำรับขึ้นถวายควรจัดอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภทแรก
พระวิมาดาเธอ กระพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา เป็นเจ้านายสตรีผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียงในด้านการทำอาหาร จนได้รับการยกย่องว่าทรงเป็น “เอตทัคคะทางด้านการทำกับข้าว” งานห้องเครื่องต้นนั้นเป็นงานที่หนักสำหรับพระองค์ เนื่องจากเงินหลวงพระราชทานปีละเก้าพันบาท เลี้ยงพร้อมพระองค์รักษ์เวร มหาดเล็ก กรมวังเวร ทหารรักษาวังเวร และแขกพิเศษ เงินหลวงไม่พอใช้จ่ายแต่ก็มิได้กราบบังคมทูลให้พระพุทธเจ้าหลวงทรงทราบ กลับค้นคิดและดัดแปลงชนิดของพระกระยาหารให้มีความหลากหลาย เรียกได้ว่า “มัธยัสถ์” ก็เห็นสมควรได้ อาหารที่แสดงถึงความมัธยัสถ์อย่างแรกที่จะนำเสนอคือ ข้าวตัง
สืบเนื่องจากที่พระวิมาดาเธอฯ เป็นผู้ปรุงอาหารสำหรับเลี้ยงองครักษ์เวร มหาดเล็ก กรมวังเวร ทหารรักษาวังเวร และแขกพิเศษ ซึ่งต้องหุงข้าวในปริมาณมาก เมื่อมีข้าวเหลือจากการรับประทานก็ทรงโปรดให้นำมาล้างน้ำให้สะอาดและตากให้แห้งเพื่อเก็บไว้ดัดแปลงเป็นอาหารชนิดอื่นๆ ถัดไป เช่น นำมาทำเป็นของทานเล่นแบบข้าวตังปรุงรส เป็นต้น ส่วนข้าวที่แฉะก็นำมาผสมกับน้ำใบเตยแล้วนำมาปิ้งโดยใช้พิมพ์ทองม้วนทำเป็นข้าวตังแผ่น
ข้าวตังปรุงรสเป็นการนำเอาข้าวตากแห้งมาทำให้สุกและผสมกับเครื่องปรุงที่มีอยู่ในครัว เช่นกุ้งแห้ง ถั่วลิสง เต้าหู้ ผักชี และอื่นๆ ดังนั้นเครื่องปรุงของข้าวตังปรุงรสจึงขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่มีอยู่ในเวลานั้น จากงานวิจัยของคุณพรรษภรณ์ โฆษิตกานต์ ได้นำเสนอข้าวตังปรุงรสที่มีเครื่องปรุงคล้ายกับข้าวเม่าหมี่จึงอนุมานชื่อเรียกว่า ข้าวตังหมี่ โดยมีข้อมูลดังนี้
เครื่องปรุง
๑) ข้าวสวยตากแห้ง ๑ ถ้วย
๒) กุ้งแห้งเนื้อตัวเล็ก ๓/๔ ถ้วย
๓) เต้าหู้เหลือง ๑ แผ่น
๔) น้ำตาลทราย ๑/๒ ถ้วย
๕) เกลือ ๑ ช้อนชา
๖) น้ำมันถั่วเหลือง ๔ ถ้วย
วิธีทำ
๑) เทน้ำมันถั่วเหลืองลงในกระทะตั้งไฟให้ร้อน
๒) นำข้าวสวยที่ตากแห้งมาทอดในน้ำมันให้พองพอเหลือง แล้วยกขึ้นใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
๓) นำกุ้งแห้งลงทอดพอกรอบแล้วยกขึ้นใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
๔) นำเต้าหู้เหลืองมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปทอดเช่นเดียวกันกับกุ้งแห้ง
๕) ตั้งกระทะโดยใช้ไฟอ่อน แล้วนำข้าวทอด กุ้งแห้งทอด เต้าหู้ทอดลงคลุกเคล้าให้เข้ากันในกระทะ และเติมเกลือกับน้ำตาลปรุงรส เมื่อน้ำตาลเกาะกับเครื่องที่คลุกไว้ก็ยกลง
อาหารอีกชนิดหนึ่งที่แสดงถึงความมัธยัสถ์ของพระวิมาดาเธอฯ คือข้าวบายศรีปากชาม ซึ่งได้มีหลักฐานการบันทึกไว้โดยเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับลดาวัลย์ ในอาหารตำรับพระวิมาดาเธอฯ ว่ามีรายการข้าวปรุงสำเร็จที่เรียกว่า ข้าวบายศรีปากชาม โดยมีเครื่องปรุงและวิธีการทำดังนี้
เครื่องปรุง
๑) ข้าวสุก ๒ ถ้วยชา
๒) ไข่เค็ม ๑ ฟอง
๓) ไข่จืด ๑ ฟอง
๔) เนื้อเค็มหรือปลาช่อนแห้งพอควร
๕) น้ำพริกมะขามเปียก
๖) ทองหลางใบมน หมูหวาน วุ้นเส้นทอด
วิธีทำ
๑) นำข้าวสุกคลุกน้ำพริกกับหมูหวานสับละเอียดให้มีรสอ่อนๆ แล้วใส่กรวยใบตองคว่ำลงกลางชามเบญจรงค์หรือชามทรงสูง
๒) นำไข่ต้มสุกเสียบไม้ใส่ยอดกรวยแล้วทอดใบทองหลางให้กรอบเรียงสามหย่อมรอบชาม แล้วเอาทองหลางสดเจิม ผ่าไข่เค็มสุกสามเสี้ยววางสามหย่อม
๓) นำปลาหรือเนื้อเผาแล้วทุบให้ปุย ฉีกเรียงพอควร
๔) นำวุ้นเส้นทอดให้เหมือนเส้นด้ายมาผูกขวัญสามหย่อม
คุณจิตรานุช เวสา ได้ทำการวิจัยเพื่อศึกษาถึงความเป็นมา และวิธีการทำข้าวบายศรีปากชามในตำรับของพระวิมาดาเธอฯ ผลการวิจัยในการทำข้าวบายศรีปากชามมีขั้นตอนที่สำคัญอยู่ ๓ ขั้นคือ
๑) การทำน้ำพริกมะขามเปียก
๒) การปรุงข้าว
๓) การจัดตกแต่ง
น้ำพริกมะขามเปียก
เครื่องปรุง
๑) มะขามเปียกแกะเม็ดแล้ว ๑ ช้อนโต๊ะ
๒) กุ้งแห้งอย่างจืด ๘ ช้อนชา
๓) พริกแห้ง ๕ เม็ด
๔) หัวหอม ๓๐ กรัม
๕) กระเทียมกลีบเล็ก ๖ กลีบ
๖) กะปิ ๑ ช้อนชา
๗) น้ำปลา ๒/๓ ช้อนโต๊ะ
๘) น้ำตาลปี๊บ ๓ ช้อนชา
วิธีทำ
๑) นำกุ้งแห้งมาโขลกให้ละเอียด
๒) ย่างพริกแห้งด้วยไฟอ่อนๆ พอหอม และแกะเม็ดออก
๓) แกะเปลือกหัวหอม กระเทียม แล้วนำไปเผา
๔) นำพริกแห้งที่ย่างและแกะเม็ดออกแล้วพร้อมกับหัวหอมเผากระเทียมเผามาโขลกรวมกัน พร้อมกะปิ
๕) ใส่มะขามเปียกที่แกะเม็ดออกแล้ว โขลกผสมจนแหลก แล้วจึงใส่กุ้งแห้งป่น
๖) ปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ
การปรุงข้าว ส่วนประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการปรุงข้าวคือ หมูหวาน ซึ่งมีเครื่องปรุงและการทำดังนี้
เครื่องปรุง
๑) หมูสามชั้น ๑๐๐ กรัม
๒) น้ำเปล่า ๕๐ กรัม
๓) หอมแดงปอกเปลือก ๒๐ กรัม
๔) น้ำมันถั่วเหลือง ๓ ช้อนโต๊ะ
๕) น้ำตาลปี๊บ ๑๐๐ กรัม
๖) ซีอิ้วขาว ๑ ช้อนโต๊ะ
๗) ซอสถั่วเหลือง ๑ ช้อนโต๊ะ
๘) ซีอิ้วดำ ๑ ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
๑) นำหอมแดงลงผัดกับน้ำมันให้หอม จากนั้นเติมเนื้อหมูลงผัดให้เข้ากัน โดยไม่ต้องให้หมูสุก
๒) ปรุงรสด้วยซีอิ้วดำ ซีอิ้วขาว ซอสถั่วเหลือง และเติมน้ำเปล่าลงไปผัดให้เข้ากัน จากนั้นจึงปิดฝาทิ้งไว้ ๕ นาที
๓) เมื่อน้ำเริ่มแห้งจึงเติมน้ำตาลปี๊บลงไป ผัดจนน้ำตาลปี๊บละลายจนหมด
การปรุงข้าวบายศรีปากชาม มีเครื่องปรุงและขั้นตอนดังนี้
เครื่องปรุง
๑) ข้าวสุก ๓๕๐ กรัม
๒) น้ำพริกมะขามเปียก ๔๐ กรัม
๓) หมูหวาน ๓๐ กรัม
วิธีทำ
๑) นำข้าวสุกคลุกน้ำพริกกับหมูหวานสับละเอียด ชิมดูโดยให้มีรสอ่อนๆ
๒) นำมาใส่กรวยใบตอง แล้วพักไว้
๓) การจัดตกแต่งข้าวบายศรีปากชาม
เครื่องปรุง
๑) ข้าวปรุงที่ใส่กรวยเตรียมไว้แล้ว
๒) ไข่เค็ม ๑ ฟอง
๓) ไข่จืด ๑ ฟอง
๔) เนื้อเค็มหรือเนื้อปลาช่อน (การศึกษาครั้งนี้ใช้เนื้อเค็ม)
๕) ทองหลางใบมน (การศึกษาครั้งนี้ใช้ใบชะพลู)
๖) วุ้นเส้น
วิธีทำ
๑) นำข้าวปรุงที่ใส่กรวยใบตองคว่ำลงกลางชามเบญจรงค์
๒) นำไข่ต้มที่ต้มสุกแล้วเสียบไม้ใส่บนยอดกรวย
๓) นำใบชะพลูทอดให้กรอบ แล้วนำมาเรียงสามหย่อมรอบชาม หย่อมละสามชั้น
๔) ผ่าไข่เค็มสุกสามเสี้ยวจัดวางสามหย่อม แ
๕) นำเนื้อเค็มมาทุบให้ปุยหรือหั่นชิ้นเล็กฉีกเรียงพอควรละปั้นไข่แดงเป็นลูกกลมเล็กๆ
๖) นำวุ้นเส้นทอด แล้วนำมาจัดวางในข้างกรวย
สาเหตุที่แสดงถึงความมัธยัสถ์ในข้าวบายศรีปากชามมาจากเครื่องปรุงอาหารที่มีอยู่ในครัวและเหลือจากสำรับเจ้านายนำมาผสมผสานดัดแปลงเป็นอาหารชนิดใหม่ รวมถึงพระอัจฉริยภาพในการจินตนาการการสร้างสรรค์ทำให้เกิดเป็นข้าวบายศรีปากชาม ซึ่งเรียกว่าเป็นข้าวปรุงสำเร็จ จากแนวคิดนี้เองก็เกิดเป็นข้าวปรุงสำเร็จอีกหลากหลายชนิด ได้แก่ ข้าวในปลีกล้วย ซึ่งมีบันทึกไว้โดยเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับเช่นกัน ดังนี้
เครื่องปรุง
๑) ข้าวสุก ๒ ถ้วยชา
๒) ตะไคร้ ข่า กระเทียม พริกแห้ง กะปิ น้ำปลา น้ำตาลหม้อ
๓) ปลีกล้วย ๓ ปลี
๔) กะทิข้นๆ ๑/๒ ถ้วยชา
๕) เนื้อหมูสับ ๒ ช้อนโต๊ะ
๖) ผักชีใบหอม ใบมะกรูด
๗) ไข่ไก่ ๒ ฟอง
วิธีทำ
๑) โขลกเครื่องปรุงทุกอย่างให้ละเอียด นำมาละลายในกะทิ นำเนื้อหมูลงมาคนให้เข้ากัน ใส่ไข่ ผักชี ข้าวสุก ชิมให้รสจัดหน่อย
๒) นำหัวปลีแหวกตัดแกนในออกบ้างพอบรรจุข้าวสุกได้ ล้างยางด้วยน้ำส้ม ผึ่งให้แห้ง
๓) นำข้าวที่ผสมบรรจุลงไป จัดกลีบให้เรียบร้อยห่อใบตอง เผาไฟอ่อนๆให้ระอุดีแล้ว ลอกใบตองออก เผาหัวปลีอีกครั้ง สุกดีแล้วปอกกาบแดงๆออกทานได้เลย
จากตำรับที่มีการบันทึกไว้มีกระบวนการปรุงที่พิถีพิถันและใช้เวลาในการทำมาก ในการวิจัยของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศันสนีย์ จะสุวรรณ์ ได้สืบค้นและพัฒนาเพื่อให้ง่ายในการปรุงโดยยังคงรสชาติเดิม โดยมีข้อมูลจากงานวิจัยดังนี้
เครื่องปรุง
๑) ข้าวสุก ๓ ถ้วยตวง
๒) ตะไคร้ ข่า กระเทียม พริกแห้ง กะปิ นำมาตำเป็นน้ำพริกแกง ๓/๔ ถ้วยตวง
๓) ปลีกล้วย ๓ ปลีใหญ่
๔) หัวกะทิข้นๆ ๑/๒ ถ้วย
๕) เนื้อหมูสับ เพิ่มเป็น ๓ ช้อนโต๊ะ
๖) ผักชีใบหอม และใบมะกรูดหั่นฝอยอย่างละ ๒ ช้อนโต๊ะ
๗) ไข่ไก่ ๒ ฟอง
๘) น้ำปลา ๓ ช้อนโต๊ะ
๙) น้ำตาลหม้อ ๑ ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
๑) นำน้ำพริกแกงที่เตรียมไว้มาละลายในหัวกะทิข้นๆ
๒) นำหมูบดลงผสม คนให้เข้ากัน ใส่ผักชีและใบมะกรูด
๓) นำข้าวสุกที่เตรียมไว้เทลงไปผสมกับเครื่องแกงที่ผสมหมูบดและกะทิที่เตรียมไว้
๔) ตีไข่ให้พอเข้ากัน เทลงในข้าวสุกที่ผสม ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลหม้อ
๕) นำหัวปลีไปล้างให้สะอาด ทิ้งไว้ค้างคืนให้เหี่ยว นำไปผึ่งแดดเพื่อให้กาบปลีนิ่ม แหวกเอาลูกกล้วยออก และตัดแกนข้างในออกและนำไปแช่ในน้ำส้มสายชู ๑๐ นาที
๖) นำข้าวที่ผสมไว้ใส่ลงในตะแกรงตรงกลาง และใช้กาบปลีปิด บรรจุข้าวลงแต่ละชั้น จนหมดกาบสีขาว เอากาบแดงหุ้ม แล้วเอาไปห่อใบตองอีกครั้งหนึ่ง
๗) นำไปย่างบนเตาถ่าน จนใบตองไหม้ ก็เปลี่ยนใบตองห่อใหม่ แล้วนำไปย่างต่อ
๘) เมื่อใบตองไหม้หมด แกะเอาใบตองทิ้ง นำมาย่างบนเตาใช้ไฟอ่อนๆ อีก ๑๐ นาที
๙) ลอกกาบปลีที่เป็นสีแดงออก เหลือแต่ข้างในที่ห่อข้าวไว้
๑๐) นำมาหั่นเป็นแว่นๆ แต่งด้วยผักชี พร้อมรับประทาน
ที่มา
เรื่องเล่าอาหารชาววัง The Legend of Royal Thai Cuisine
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา