อาการสั่น เป็นลักษณะที่เด่นและพบบ่อยที่สุดของผู้ป่วยโรคนี้ อาการสั่นนี้จะพบราว ๒ ใน ๓ ของผู้ป่วยทั้งหมด โดยในระยะแรกของโรค อาจเกิดขึ้นกับร่างกายซีกใดซีกหนึ่งก่อน เช่น มือหรือเท้า ต่อมา จะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการเคลื่อนไหวช้าหรือเกร็ง โดยอาจมีอาการสั่นนำมาก่อนเป็นเวลา ๑ - ๒ ปีก็ได้ แต่ในผู้ป่วยพาร์กินสันบางราย อาจไม่มีอาการสั่นเลย แต่มีอาการเคลื่อนไหวช้า หรือเดินตัวเกร็ง เช่น เดินแขนไม่แกว่ง เป็นอาการนำมาก่อน ๒ - ๓ ปี ต่อมา จึงมีอาการสั่นตามมาในระยะท้ายๆ ของโรคก็ได้ |
|
อย่างไรก็ตาม อาการสั่นนั้นอาจพบได้ในโรคอื่นๆ อีกมากมายหลายกรณี เช่น ก. โรคไทรอยด์เป็นพิษ ข. โรคพิษสุราเรื้อรัง ค. ผลจากภาวะไข้สูง ตั้งครรภ์ ตื่นเต้น หรือตกใจมากๆ ง. ผลจากยาต่างๆ เช่น ยาแก้หอบหืด ยาต้านซึมเศร้า ยาป้องกันชัก จ. ผลจากสารเสพติดต่างๆ เช่น ติดทินเนอร์ ติดกาว ติดยานอนหลับ ติดสารกระตุ้นสมอง ฉ. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ช. โรคสมองน้อยฝ่อ ซ. โรคพันธุกรรมต่างๆ ฌ. ความชรา สำหรับอาการสั่นในผู้ป่วยโรคพาร์กินสันนั้น มีลักษณะการสั่นเป็นพิเศษจำเพาะ ที่สามารถแยกจากโรคอื่นๆ หรือภาวะอื่นๆ ดังกล่าวได้อย่างชัดเจน เพราะการสั่นในโรคพาร์กินสันจะเกิดขณะอยู่เฉยๆ หรืออยู่นิ่งๆ แต่ถ้าผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหว เช่น ยื่นมือออกมาทำกิจกรรมใด อาการสั่นนี้จะลดลงหรือหายไป เมื่อเวลาตรวจกล้ามเนื้อจะพบว่า มีความตึงตัวของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น และมีการเคลื่อนไหวช้าร่วมด้วย ส่วนการสั่นจากภาวะหรือโรคอื่นๆ ดังกล่าวมักจะเกิดการสั่นขึ้นในขณะที่มีการเคลื่อนไหว แต่ในขณะอยู่นิ่งๆ หรืออยู่เฉยๆ จะไม่มีอาการสั่นเลย และความตึงตัวของกล้ามเนื้อจะเป็นปกติดี อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันระยะท้ายๆ ที่มีการสั่นมากๆ อาจเกิดอาการสั่นตลอดเวลา แม้ในขณะที่มีการเคลื่อนไหวก็ได้ นอกจากนี้ลักษณะเด่นของอาการสั่นในโรคพาร์กินสัน มักเป็นที่มือและนิ้วมือ โดยมีอัตราความถี่ ๔ - ๗ ครั้งต่อวินาที อนึ่ง การสั่นอาจเกิดขึ้นที่บริเวณขา ปาก ลิ้น หรือคาง ก็ได้ แต่ศีรษะจะไม่สั่น และเมื่อใดก็ตาม ถ้าหากพบอาการสั่นของศีรษะไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบส่ายหน้าไปมาซ้ายขวา หรือผงกและเงยศีรษะขึ้นลง มักไม่ใช่เกิดจากโรคพาร์กินสัน แต่เกิดจากโรคอื่นๆ เช่น โรคสมองน้อยฝ่อ ภาวะชราภาพ หรือพบร่วมกับโรคทางสมองอื่นๆ ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันโดยทั่วๆ ไปมักมีอาการสั่นที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยความแรงของการสั่นจะเพิ่มมากขึ้น ตามระยะเวลาของการเป็นโรค และอาการสั่นนี้ จะมีความรุนแรงมากขึ้น ในขณะที่มีความกังวล ตกใจ หรือเครียด หรือในขณะที่ต้องปรากฏตัวในที่ชุมชน เช่น การกล่าวปราศรัยหรือพูดในที่ชุมชน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยกลุ่มนี้ทุกคนจะทราบดีว่า หากได้หยิบหรือจับสิ่งของบางอย่างร่วมด้วย อาการสั่นก็จะลดความรุนแรงลงได้ ดังนั้น บางคนจึงอาจใช้วิธีกำหนังสือพิมพ์ ถือไม้เท้า ถือร่ม กำหมัดและคลายหมัดสลับกัน อนึ่ง อาการสั่นที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคพาร์กินสันนั้น จะหายไปโดยสิ้นเชิง เมื่อผู้ป่วยนอนหลับ หรือขณะได้รับยาสลบ แต่เมื่อผู้ป่วยตื่นหรือฟื้นขึ้นมา อาการสั่นก็จะกลับมาปรากฏอีก อาการในระยะแรกๆ ของผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมักพบว่า อาจเกิดอาการสั่นเป็นพักๆ เท่านั้น และมักเป็นแต่เฉพาะบางส่วนของร่างกาย เช่น สั่นที่นิ้วใดนิ้วหนึ่งนำมาก่อน บางรายอาการสั่นจะยังคงเกิดขึ้นที่นิ้วมือนั้นๆ หรือเป็นทั้งมือตามมาในที่สุด โดยปกติอาการสั่นในผู้ป่วยโรคพาร์กินสันนั้น มักเกิดที่มือก่อนเสมอ และมักเป็นที่ส่วนปลายๆ ของมือข้างใดข้างหนึ่งนำมาก่อน จากนั้นจึงมีอาการสั่นของมืออีกข้างตามมา โดยอาการสั่นจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับ และอาการสั่นก็จะลุกลามจากบริเวณมือมายังข้อมือ ข้อศอก และทั้งแขน ในขณะที่บริเวณขาอาจไม่พบอาการสั่นแต่อย่างใด ผู้ป่วยน้อยรายมาก ที่จะพบอาการสั่นเกิดอยู่แต่เฉพาะที่เท้าและขา ในขณะที่ไม่มีอาการสั่นบริเวณมือหรือแขนเลย สำหรับอาการสั่นที่อื่นๆ ของร่างกาย เช่น ริมฝีปาก คาง ลิ้น มักมีความแตกต่างกันอย่างมากในผู้ป่วยแต่ละราย ในรายงานจากต่างประเทศ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ พบว่า ร้อยละ ๖๐ ของผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน จะมีอาการสั่นที่มือข้างใดข้างหนึ่งนำมาก่อน หลังจากนั้นจึงจะเกิดอาการสั่นที่มืออีกข้างหนึ่งตามมา ภายในระยะเวลา ๗ ปี โดยพบถึง ๒ ใน ๓ ของผู้ป่วยกลุ่มนี้ |
อาการเกร็ง |
|
นายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน ให้ความสนใจในเรื่องอาการเกร็งนี้น้อยกว่าอาการสั่นมาก จนกระทั่งต่อมา ศาสตราจารย์นายแพทย์ชอง-มาร์แตง ชาร์โก จึงได้เน้นย้ำว่า อาการเกร็งนี้ เป็นลักษณะอาการทางคลินิกที่สำคัญยิ่งของโรคนี้ โดยอาการเกร็งจะเริ่มจากข้างใดข้างหนึ่งนำมาก่อน ต่อมาก็จะเกิดทั้งสองข้างของร่างกาย อย่างไรก็ตาม ลักษณะอาการเกร็งของโรคพาร์กินสันมีลักษณะจำเพาะที่แตกต่างกันออกไปของโรคนี้โดยเฉพาะ และจะทำให้เกิดลักษณะอาการ และอาการแสดงทางคลินิกของโรคพาร์กินสันขึ้นได้หลายรูปแบบดังนี้ ๑. อาการเกร็งแบบท่อโลหะ หมายถึง อาการเกร็งที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อชนิดที่มีความตึงตัวกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นเท่ากันตลอดเวลา มักพบที่บริเวณกล้ามเนื้อคอด้านหลัง และกล้ามเนื้อบริเวณข้อไหล่มากกว่าบริเวณข้อศอกและข้อมือ ส่วนใหญ่มีอาการเกร็ง ในบริเวณแขนมากกว่าบริเวณขา แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่ลำตัวมากกว่า ๒. อาการเกร็งแบบฟันเฟือง อาการเกร็งชนิดนี้มีอาการสั่นเกิดขึ้นร่วมกับอาการเกร็งด้วย จึงทำให้การตรวจความตึงตัวของกล้ามเนื้อในขณะไม่ออกแรงต้าน เป็นแบบชนิดสะดุด และเกร็งเป็นช่วงๆ ๓. อาการเกร็งตามความแปรปรวนในความรุนแรงของอาการ กล่าวคือ อาการเกร็งจะเป็นมากขึ้นในขณะยืน หรือพยายามตั้งใจจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และอาการนี้จะลดลงเมื่อล้มตัวลงนอน หรือในภาวะที่มีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเกร็งที่รุนแรงมาก โดยเฉพาะในบริเวณกล้ามเนื้อของลำตัว ทำให้ผู้ป่วยในขณะนอนราบมีลักษณะอาการเกร็งที่บริเวณคออยู่ตลอดเวลา ผู้ป่วยจะนอนศีรษะไม่ติดพื้น เหมือนกับว่า นอนอยู่ในท่านอนหนุนหมอนลอยขึ้นมา โดยไม่มีหมอนหนุนรองรับที่บริเวณคอเลย |
๔. อาการแสดงทางใบหน้าแบบไม่ยินดียินร้าย ไม่ตอบสนองต่ออารมณ์ใดๆ ไม่ว่าจะดีใจ หรือเสียใจ ผู้ป่วยบางรายมีอาการซึมเศร้า ไม่ค่อยยิ้ม หรือร่าเริงเหมือนเช่นปกติ โดยมีใบหน้าเป็นเหมือนหุ่นยนต์ หรือเหมือนใส่หน้ากาก ทั้งนี้เป็นผลเนื่องมาจาก มีอาการเกร็ง ของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ร่วมกับอาการเคลื่อนไหวช้า ของกล้ามเนื้อร่วมกัน ๕. อาการเกร็งที่ก่อให้เกิดลักษณะวิกลรูปที่บริเวณมือและเท้า |
|
ผู้ป่วยพาร์กินสันมักมีน้ำลายไหลยืดออกมากตลอดเวลา |
|
๒. ภาวะน้ำลายออกมาก ๓. ภาวะเดินเกร็งและแขนไม่แกว่ง |
|
Credit : https://kanchanapisek.or.th