อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยที่ชี้ว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มาเป็นเวลานานกับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่นั้น มีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก แล้วในกรณีของบุหรี่ไฟฟ้านั้น จะมีความเสี่ยงเช่นเดียวกับบุหรี่มวนหรือไม่?
บุหรี่ไฟฟ้านั้นไม่มีการเผาไหม้เช่นเดียวกับบุหรี่ทั่วไป แต่จะใช้กลไกการทำให้เกิดความร้อนกับน้ำยาแทน ดังนั้น มันจึงไม่มีควันจากการเผาไหม้ แต่จะเป็นควันของไอน้ำที่เกิดจากกลไกทางความร้อนของน้ำยาแทน
หากกล่าวเฉพาะไอน้ำที่สัมผัสและเข้าสู่ร่างกายของผู้ใช้ หนึ่งในสารประกอบหลักก็คงหนีไม่พ้นนิโคตินนั่นเอง
มีการศึกษาจำนวนมากที่มุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างไข้หวัดใหญ่กับการสูบบุหรี่
● จากการสำรวจโดยใช้นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายจำนวน 1,811 คน พบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มากกว่า 21 มวนต่อวัน มีแนวโน้มที่จะเป็นไข้หวัดใหญ่มากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ประมาณ 21%
● จากการสำรวจของอิสราเอลจากผู้ที่เข้ารับราชการทหารจำนวน 336 คน โดยในจำนวนนี้มีคนสูบบุหรี่ทั้งหมด 168 ราย พบว่า คนที่สูบบุหรี่มีการติดเชื้อเป็นไข้หวัดถึง 68.5% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ที่ป่วยเป็นไข้หวัดเพียง 47.2% โดยเฉพาะกรณีของไข้หวัดใหญ่ในระดับรุนแรง ผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงในการป่วยสูงถึง 40.6% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่สูบ
● ผู้สูบบุหรี่ ประสิทธิภาพของแอนติบอดีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะลดลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าระยะเวลาการคงอยู่ของภูมิคุ้มกันจากแอนติบอดีนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 5 เดือน แต่ถึงแม้ว่าจะฉีดวัคซีน หากเทียบกับคนไม่ได้สูบบุหรี่ ความเสี่ยงของการเป็นไข้หวัดก็ยังสูงกว่าอยู่ดี
ในปี 2019 จากผลการศึกษาและวิเคราะห์ในเชิงลึกยังพบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 1.5 เท่า และมีแนวโน้มที่จะป่วยหนักและเข้ารับการรักาาใน ICU 2.2 เท่า นอกจากนี้ ผู้สูบบุหรี่มีความเสี่ยงที่จะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ (Influenza-like illness) มากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 1.34 เท่าอีกด้วย
การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัด และทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเมื่อสูบบุหรี่แล้ว ควันบุหรี่จากหลอดลมเข้าสู่ปอด ผสมเข้ากับเลือด และเข้าสู่ทั่วร่างกายในไม่กี่วินาที และส่วนหนึ่งของนิโคตินจะเปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยออกมาว่า เมื่อระดับนิโคตินในเลือดที่เพิ่มขึ้น จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันก็จะเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับเมื่อร่างกายมีการติดเชื้อหรือการอักเสบ นั่นหมายความว่า นิโคตินที่อยู่ในบุหรี่ดูเหมือนจะมีผลต่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเห็นได้ชัด
นิโคตินยังส่งผลเสียต่อเซลล์ผิวหนังชั้นใน อย่างเช่น หลอดเลือดและท่อน้ำเหลือง, เซลล์เยื่อบุผิว เช่น ผิวหนัง และเซลล์ประสาทส่วนกลางอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลวิจัยที่ว่า นิโคตินทำให้การทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน (Dendritic cells) ลดลง
จากผลการวิจัยเกี่ยวกับเนื้อเยื่อและบุหรี่ไฟฟ้า พบการเพิ่มขึ้นของการป่วยด้วยโรคติดเชื้อนิวโมคอกคัส (Streptococcus pneumonia) ในเซลล์ที่มีการสัมผัสกับไอน้ำจากปฏิกิริยาของบุหรี่ไฟฟ้า และนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า มีความเสี่ยงที่จะทำให้กลายเป็นไข้หวัดได้ง่าย รวมไปถึงทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้นอีกด้วย อาจกล่าวได้ว่า นิโคตินเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่นั่นเอง
หากพิจารณาจากผลกระทบที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นได้ว่า นิโคตินในบุหรี่นั้นมีผลกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยตรง และนำไปสู่ความเสี่ยงในการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ อีกมากมาย รวมทั้งเป็นปัจจัยหนึ่งในการเกิดมะเร็งอีกด้วย และไม่ว่าจะเป็นบุหรี่มวนหรือบุหรี่ไฟฟ้าก็ล้วนทำให้ร่างกายได้รับนิโคตินด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น การหยุดรับสารนิโคตินเข้าสู่ร่างกายจึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด นั่นคือ เลิกสูบบุหรี่กันเถอะ
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ความเสี่ยงของบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์