แม่ท้องบางคนอาจมีอาการแพ้ท้องตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์สัปดาห์แรก แต่บางคนอาจไม่มีอาการอะไรเลย แต่เมื่อเข้าสัปดาห์ที่ 4 อาการที่แสดงว่าตั้งครรภ์มักปรากฎชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีอาการและความรุนแรงแตกต่างกัน ดังนี้
ถ้าประจำเดือนที่เคยมาทุกเดือนขาดหายไปดื้อ ๆ อาจหมายความว่าร่างกายเข้าสู่สภาวะตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไป เพราะอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ อาจเกิดจากภาวะเครียดก็ได้ ดังนั้นควรสังเกตอาการอื่น ๆ ของตนเองร่วมด้วย
เมื่อร่างกายเข้าสู่ภาวะตั้งครรภ์ เต้านมของว่าที่คุณแม่มักมีการเปลี่ยนแปลงคือ เส้นเลือดบริเวณเต้านมมีสีเข้มขึ้นและนูนออกมา เต้านมขยาย ไวต่อการสัมผัส และรู้สึกเจ็บแปลบตลอดเวลา
หลังจากสังเกตว่าประจำเดือนขาดหายไป อีกสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติคือ การปวดปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ซึ่งสาเหตุเกิดจากปริมาณเลือดในร่างกายเพิ่มขึ้น และมดลูกขยายตัวใหญ่ขึ้น ทำให้ไตขับของเสียออกมาในรูปของเสียบ่อยขึ้นตามไปด้วย
เป็นอาการที่พบได้ส่วนใหญ่ในว่าที่คุณแม่หลายราย บางทีอาจมีอาการใจหวิว ใจสั่น หน้ามืด และคล้ายจะเป็นลมร่วมด้วย อาการเหล่านี้เกิดจากฮอร์โมนสำหรับตั้งครรภ์ไปรบกวนระบบทางเดินอาหาร ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ โดยเฉพาะเวลาท้องว่าง อาการจะยิ่งหนักขึ้น อาจทำให้เป็นลมเพราะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำได้
เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดเลือดคั่งบริเวณช่องคลอด และคอมดลูก จึงอาจเกิดอาการตกขาวมากกว่าปกติ แต่อาการเหล่านี้ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด เพียงแค่คุณแม่ต้องดูแลเรื่องความสะอาดและความอับชื้นอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น
เนื่องจากร่างกายเตรียมเข้าสู่ภาวะตั้งครรภ์ ดังนั้นพลังงานส่วนใหญ่จึงนำมาใช้สำหรับพัฒนาการของลูกในท้อง จึงทำให้คุณแม่รู้สึกปวดเมื่อยและเหนื่อยง่ายผิดปกติ ในช่วงนี้คุณแม่จึงไม่ควรหักโหมหรือใช้แรงเยอะ ควรพักผ่อนและรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
อาการเหล่านี้เรียกว่า Super Smell เป็นอาการที่จมูกไวต่อกลิ่นทุกชนิดมากเป็นพิเศษ ทำให้ว่าที่คุณแม่ไม่ชอบกลิ่นบางชนิด บางรายอาจมีอาการเหม็นอาหาร เหม็นกลิ่นที่เคยชอบ หรือขนาดเหม็นกลิ่นสามีเลยก็ได้ อาการเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะธรรมชาติพยายามป้องกันร่างกายคุณแม่ และอยากให้คุณแม่พักผ่อนให้เยอะที่สุดนั่นเอง
เพราะระดับฮอร์โมนที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ประสาทการรับรสเปลี่ยนไปจนทำให้กินอะไรก็ไม่อร่อย และบางทีก็อยากกินอาหารแปลก ๆ หรืออาหารที่มีรสเปรี้ยวจัดขึ้นมา เป็นอาการปกติของว่าที่คุณแม่
มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของร่างกาย อาทิ การบีบตัวของลำไส้ลดลง และมดลูกทับลำไส้ใหญ่ ดังนั้น คุณแม่ท้องจึงควรกินอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำมาก ๆ และออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อช่วยลดอาการท้องผูกนี้
เป็นอาการเจ็บหลังช่วงล่าง เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น และศูนย์กลางการทรงตัวเปลี่ยนไป จึงทำให้ท่ายืน นั่ง และเดินเปลี่ยนตามไปด้วย ทางที่ดีคุณแม่ควรพักผ่อนยืดหลังให้มาก ๆ และออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อลดอาการปวดหลัง