ตัวอย่างของถ้ำที่โดดเด่นในอุทยานธรณีสตูล ได้แก่ ถ้ำเลสเตโกดอน ที่เต็มไปด้วยหินหินงอก (Stalagmites) และหินย้อย (Stalactites) ที่สวยงาม ซึ่งโดยทั่วไปเราสามารถพบหินงอกและหินย้อยได้ในถ้ำหินปูน แต่กว่าจะมาเป็นหินงอกหินย้อยที่สวยงามนี้ พวกมันได้ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาโดยการกร่อน การพัดพา ไปจนถึงการสะสมตัวของตะกอนจากน้ำใต้ดินมาอย่างยาวนาน
สำหรับหินงอกและหินย้อยมีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่มีกระบวนการเกิดที่คล้ายกัน โดยเกิดจากก๊าซ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในอากาศ ละลายเข้าสู่น้ำฝนที่ตกลงมาจากฟ้า ทำให้ฝนมีสภาพเป็นสารละลายกรดคาร์บอนิก ดังสมการ
H2O (l) + CO2 (g) ----> H2CO3 (aq) ------- (1)
เมื่อน้ำฝนที่มีสภาพเป็นกรดไหลซึมลงสู่ใต้พื้นดินและเข้าสู่ถ้ำ สารละลายกรดคาร์บอนิกจะทำปฏิกิริยากับแร่แคลไซต์หรือแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของถ้ำหินปูน ได้เป็นแคลเซียมไบคาร์บอเนตหรือแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต ดังสมการ
H2CO3 (aq) + CaCO3 (s) ----> Ca(HCO3)2 (aq) ------- (2)
สารละลายแคลเซียมไบคาร์บอเนตจะไหลไปตามหิน เพดานถ้ำ พื้นถ้ำ หากสารละลายดังกล่าวหยดจากเพดานถ้ำ และมีการระเหยของน้ำออกไป จะเขียนเป็นสมการได้ดังนี้
Ca(HCO3)2 (aq) ----> CaCO3(s) + H2O (l) + CO2 (g) ------- (3)
แคลเซียมคาร์บอเนตที่เกิดขึ้นจากการที่น้ำระเหยออกไปจะสะสมในลักษณะของแข็งอยู่บนเพดานถ้ำ โดยก่อตัวอย่างช้า ๆ และเกิดเป็นหินย้อยรูปร่างคล้ายกรวยแหลมที่มีด้านแหลมของกรวยพุ่งลงสู่พื้น ในทำนองเดียวกัน หากสารละลายแคลเซียมไบคาร์บอเนตไหลผ่านบริเวณพื้นถ้ำ ขณะที่มีการระเหยของน้ำออกไป ก็จะเกิดเป็นหินงอกรูปร่างคล้ายกรวยแหลมที่มีด้านแหลมของกรวยพุ่งขึ้นจากพื้นสู่เพดานถ้ำ และหากทั้งหินงอกและหินย้อยเกิดขึ้นตรงตำแหน่งเดียวกัน เมื่อมันงอกมาบรรจบกันก็จะเกิดเป็นลักษณะของเสาหินขึ้นมาในถ้ำ
มีปัจจัยมากมายที่มีผลต่ออัตราการเติบโตของหินงอกและหินย้อย แต่ปัจจัยที่สำคัญ 2 ประการหลัก ๆ ได้แก่ 1) อุณหภูมิภายนอก เนื่องจากมีผลต่ออัตราการสลายตัวของซากพืชซากสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ 2) ปริมาณของฝนที่ตกลงมา ส่วนรูปร่างของหินงอกและหินย้อยถูกกำหนดโดยลักษณะของน้ำฝนที่ไหลเข้าสู่ถ้ำ เช่น การหยด การไหลซึม หรือการสาด และน้ำฝนที่ขังหรือไหลเวียนอยู่ในถ้ำนั่นเอง
หินงอกและหินย้อยใช้เวลาในการงอก 1/4 - 1 นิ้ว ในเวลา 1 ศตวรรษ หรือประมาณ 0.007-0.929 มิลลิเมตรต่อปี ดังนั้น หินงอกหรือหินย้อยขนาดใหญ่ที่เราเห็นกันภายในถ้ำจึงใช้เวลาหลายร้อยล้านปี กว่าจะให้เราได้ชื่นชมความงดงามของพวกมัน การสัมผัสกับหินงอกหรือหินย้อยที่ยังคงมีการงอกอยู่ จะทำให้พวกมันหยุดการงอกเพิ่ม เนื่องจากไขมันจากผิวหนังของเราจะรบกวนเส้นทางของน้ำที่มีแร่ธาตุละลายอยู่ ทำให้แร่ธาตุไม่สามารถยึดเกาะได้ นอกจากนี้หากอุณหภูมิภายในถ้ำสูงขึ้น ยังอาจทำให้น้ำและความชื้นภายในถ้ำลดลง ส่งผลให้แคลเซียมคาร์บอเนตซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่จะทำให้เกิดหินงอกหินย้อยภายในถ้ำลดลงได้ด้วย