แต่โรงเรียนที่ดีมีคุณภาพ หรือมีชื่อเสียงนั้น อาจจะใช่สำหรับพ่อแม่ แต่สำหรับลูกนั้นอาจไม่ใช่โรงเรียนที่ลูกต้องการมากที่สุด คือ โรงเรียนที่ทำให้เขารู้สึกมีความสุข และไม่เปลี่ยนแปลงความเป็นเด็กในตัวเขาเร็วเกินไป และเมื่อลูกมีความสุขในการเรียนรู้ ก็จะทำให้การเรียนรู้นั้นเกิดประสิทธิภาพ และสามารถพัฒนาศักยภาพของลูกได้อย่างเต็มที่
ที่สำคัญนอกจากการเลือกโรงเรียนแล้ว การเตรียมความพร้อมให้ลูกนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการเข้าโรงเรียนนั้น เปรียบเสมือนเรากำลังพาลูกข้ามผ่านจากสังคมที่มีแค่ที่บ้าน ไปสู่สังคมใหม่ที่ใหญ่ขึ้นนั่นก็คือ โรงเรียน ซึ่งความพร้อมในที่นี้ไม่ได้หมายความแค่เพียงความพร้อมทางด้านร่างกาย ที่เด็กจะต้องเริ่มช่วยเหลือตนเองได้ หรือเขียนหนังสือได้เท่านั้น แต่หมายถึงความพร้อมทางด้านสภาพจิตใจและอารมณ์ของลูกด้วย ซึ่งถ้าเด็กยังไม่พร้อมนั้น การรีบพาลูกเข้าโรงเรียนก็เท่ากับเป็นการสร้างภาวะความเครียดทางจิตใจลูกอย่างหนึ่ง
พ่อแม่ควรมีเป้าหมายที่ชัดเจนถึงแนวทางการศึกษาของลูก เพื่อเตรียมความพร้อมลูกให้เหมาะสมกับรูปแบบการเรียนการสอนในโรงเรียนที่พ่อแม่คาดหวังไว้ เช่น ถ้าวางแผนไว้ว่าจะให้ลูกเข้าโรงเรียนแนววิชาการ เช่น สาธิต หรือคาทอลิก พ่อแม่ก็ต้องเตรียมความพร้อมลูก ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมความพร้อมในเรื่องของการช่วยเหลือตัวเอง หรือการเตรียมความพร้อมในเรื่องของสติปัญญา ที่จะต้องไปเจอการสอบแข่งขันที่เข้มข้น และที่สำคัญตัวของพ่อแม่เอง ก็จะต้องเตรียมตัวว่าตนเองจะต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ในการเตรียมความพร้อมให้ลูกในทุก ๆ ด้าน
หรือถ้าพ่อแม่ชอบโรงเรียนแนวบูรณาการ ที่ไม่เน้นการอ่านเขียน ไม่เน้นการแข่งขัน พ่อแม่ก็ต้องมีการเตรียมใจว่าลูกของเราอาจจะอ่านหรือเขียนได้ช้ากว่าเด็กที่เรียนโรงเรียนแนววิชาการ แต่ลูกเราจะเป็นเด็กที่มีความสุข มีความพร้อมทางอารมณ์ ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น ต้องเน้นย้ำให้พ่อแม่มีความมั่นคง เพราะการตัดสินใจให้ลูกเรียนในแนวทางใดทางหนึ่งไปแล้ว และพ่อแม่เปลี่ยนใจกลางคัน สิ่งนั้นจะส่งผลต่อพัฒนาการการเรียนรู้ของลูกอย่างมาก เช่น เปลี่ยนจากแนวบูรณาการไปเป็นแนววิชาการ ลูกอาจจะเกิดความเครียด และอาจส่งผลให้มีพฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนไป เช่น จากเด็กช่างพูดร่าเริง อาจกลายเป็นเด็กที่เคร่งเครียด ซึมเศร้า เพราะขาดความสุขจากการเรียน
นอกจากคุณภาพแล้ว “ระยะทาง” ก็สำคัญ นอกจากการเลือกโรงเรียนที่พ่อแม่จะต้องดูความเหมาะสมในรูปแบบการสอน และศักยภาพของโรงเรียนแล้ว ความเหมาะสมในเรื่องของการรับส่ง หรือระยะทางจากบ้านไปถึงโรงเรียนก็สำคัญ เด็กบางคนต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อไปกินข้าว แต่งตัวบนรถ หรือเพื่อที่จะให้พ่อแม่ไปส่งให้ทันโรงเรียนเข้า และในตอนเย็นกว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดแล้ว เด็กไม่มีเวลาได้เล่นหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ พ่อแม่ก็ไม่มีเวลาที่จะได้ทำกิจกรรมร่วมกับลูก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าปล่อยให้เกิดขึ้นในระยาว ก็อาจเป็นสาเหตุของความเครียดสะสม ที่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอีกด้วย
สุภาพรรณ ศรีสุข (ครูแหม่ม)
ที่ปรึกษาวิชาการ โรงเรียนศิลปพัฒนาการสมองเด็ก K.D.S.