•"จิม ทอมป์สัน" ราชาผ้าไหมไทยผู้มีชื่อเสียงจากการทำธุรกิจผ้าไหมในประเทศไทย และก่อตั้งบริษัทซึ่งมีชื่อเดียวกับเขาเองขึ้นเพื่อรองรับกิจการค้าผ้าไหมในไทย ได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยระหว่างที่ไปพักผ่อนกับเพื่อนที่แคมเมอรอนไฮแลนด์ แหล่งตากอากาศในประเทศมาเลเซียทางภาคเหนือ ในช่วงสุดสัปดาห์ของเทศกาลอีสเตอร์ เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้มีการจัดทีมค้นหาร่องรอยการหายตัวไปของเขาอย่างจริงจังเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ปรากฏเงื่อนงำที่นำไปสู่การหายสาบสูญไปอย่างลึกลับของเขา มีเพียงพยานรู้เห็นว่า เขาได้เดินออกจากที่พักตามปกติและไม่กลับมาอีกเลย
• มีทฤษฎีเกี่ยวกับการหายตัวไปของจิม ทอมป์สันออกมามากมาย ทั้งทฤษฎีสมคบคิดกันทางการเมือง ถูกคู่แข่งทางธุรกิจสังหาร โดนเสือกิน หรือแม้แต่เรื่องเหนือธรรมชาติ และยังมีทฤษฎีที่ว่าเขาได้วางแผนโดยใช้การหายตัวไปของตัวเองเป็นข้ออ้าง เพื่อออกจากประเทศไทยไปอย่างมีเกียรติ เพราะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับกรมศิลปากรในเรื่องที่เขาชอบเก็บสะสมโบราณวัตถุเอาไว้เป็นจำนวนมาก
"จิม ทอมป์สัน" หรือชื่อเต็ม "เจมส์ แฮร์ริสัน วิลสัน ทอมป์สัน" ( James Harrison Wilson Thompson) เป็นสถาปนิกผู้มีใจรักในศิลปะ แต่เดิมทีจิมทำงานอยู่ในนิวยอร์กจนถึงปี 1940 ในระหว่างนั้นได้เกิดสงครามขึ้นในยุโรป เขาได้อาสาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพบกของสหรัฐอเมริกา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จิมได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าหน้าที่ในสำนักงานด้านยุทธศาสตร์ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นหน่วยสอบสวนกลาง (CIA) ทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปหลายที่ทั่วโลก และได้มากรุงเทพฯ ครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1945 เพื่อปฏิบัติภารกิจทางทหาร
ด้วยความหลงใหลที่มีต่อเมืองไทย ทำให้จิมตัดสินใจย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่หลังจากปลดประจำการในปี 1946 โดยทำงานปรับปรุงโรงแรมโอเรียลเต็ลที่มีชื่อเสียงที่สุดของกรุงเทพฯ ไปด้วย ขณะนั้นเขามีโอกาสได้เดินทางไปหลายแห่งในภาคอีสาน และเกิดความสนใจอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไหมในครัวเรือน จิมได้สังเกตว่าผ้าไหมทอมือของชาวบ้านนั้นมีคุณภาพดีแต่ยังขาดซึ่งเอกลักษณ์ เขาจึงวางแผนที่จะฟื้นฟูกิจการทอผ้าไหมของไทย โดยทำการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง และเริ่มหันมาจับธุรกิจการทอผ้าไหม
ในปี 1947 ขณะที่จิมเริ่มเสาะแสวงหาผ้าไหมนั้น เขาได้พบว่าส่วนใหญ่ตระกูลช่างทอผ้าต่างเลิกอาชีพดั้งเดิมกันไปหมด ทั้งยังกระจัดกระจายไปยังตำบลอื่น ๆ เพราะการทอผ้าแบบเดิมนั้นมีรายได้ที่น้อย และเมื่ออุตสาหกรรมการผลิตเริ่มแพร่ขยายเข้ามาในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผ้าที่ทอด้วยเครื่องจักรซึ่งมีราคาย่อมเยากว่าที่ผลิตจากโรงงานในยุโรปและญี่ปุ่น ก็เข้ามาตีตลาดจนทำให้การทอผ้าไหมแบบดั้งเดิมต้องประสบปัญหาส่วนครัวเรือนต่าง ๆ ที่ยังทอผ้าอยู่นั้น ก็เริ่มทอผ้าใช้กันเองเสียมากกว่า โดยไม่สนใจซึ่งคุณภาพและความปราณีตอีกต่อไป
จิมที่ยังคงออกสำรวจชุมชนทอผ้า ได้ไปพบกับชุมชนทอผ้าแห่งหนึ่งในพระนคร ชื่อว่า "ชุมชนบ้านครัว" ริมคลองแสนแสบนั่นเอง เขาหมั่นไปสำรวจที่ชุมชนบ้านครัวจนเกิดความสนิทสนมกับช่างทอผ้าที่นั่น ซึ่งได้ความว่าเป็นแขกจามที่อพยพมาอยู่กรุงเทพฯ นับแต่ครั้งไทยรบกัมพูชาเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา จิมได้ปรึกษา "เจมส์ สกอตต์" ทูตพาณิชย์สหรัฐประจำประเทศไทย และตกลงกันว่าจะผลักดันการผลิตผ้าตกไหมแบบซีเรียให้พัฒนาเป็นสินค้าส่งออกได้
จิมได้นำตัวอย่างผ้าไหมแบบดั้งเดิมไปเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกา บรรดาผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมแฟชั่นได้สนใจในผ้าไหมนี้เป็นอย่างมาก กระทั่งเสื้อผ้าไหมจากนักออกแบบเสื้อผ้าผู้มีชื่อเสียงของนิวยอร์ก "วาเลนทินา" (Valentina) ได้อวดโฉมลงในนิตยสาร Vogue อย่างสง่างาม ผ้าไหมไทยจึงได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายนับแต่นั้นมา จิมจึงก่อตั้งบริษัทจิม ทอมป์สัน ขึ้นในปี 1948 โดยส่งเสริมให้ชาวบ้านครัวทอผ้าโดยอิสระ แล้วไปรับซื้อโดยตรง เพื่อให้เกิดการแข่งขัน และคงไว้ซึ่งคุณภาพ จนกิจการผ้าไหมไทยเกิดความเฟื่องฟู
"จิม ทอมป์สัน" ในห้องทำงาน ถ่ายเมื่อต้นปี ค.ศ. 1967 เพียง 2-3 ดือนก่อนหน้าที่เขาจะหายสาบสูญไปอย่างลึกลับ
หลังจากการหายสาบสูญของจิม สิ่งที่เขาได้หลงเหลือไว้ คือ มรดกจากอุตสาหกรรมไหมไทยที่คนรุ่นหลังช่วยกันสืบสาน ทั้งร้านจิม ทอมป์สัน (ขายของที่ทำจากผ้าไหมไทย) จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม (พื้นที่ปลูกหม่อนไหม และจำลองวิถีชีวิตบ้านเรือนของชาวอีสาน) และเรือนไทยไม้สักบ้านของจิมที่อยู่ตรงข้ามชุมชนบ้านครัว ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมศิลปวัตถุของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอาไว้เป็นจำนวนมาก พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน อยู่ในความดูแลของมูลนิธิจิม ทอมป์สัน และได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2539 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์