ถ่ายอุจจาระออกมาเป็นก้อนเล็ก ๆ แข็ง ๆ หรือที่เรียกกันว่า ลูกกระสุน หรือถ่ายแข็งเป็นก้อนใหญ่หรือมีร่องลึกที่ผิวอุจจาระ เวลาถ่ายอุจจาระเบ่งด้วยความยากลำบาก ทำให้มีอาการปวดท้อง จุกเสียด เนื่องจากอุจจาระตกค้างอยู่ในร่างกาย หรือบางครั้งมีเลือดปนออกมาด้วย นําไปสู่ภาวะแทรกซ้อน ทําให้มีบาดแผลที่ทวารหนัก
ระยะที่ 1 อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนเล็ก ๆ แข็งมาก (เหมือนลูกกระสุน)
ระยะที่ 2 อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแต่อยู่ติดกัน และค่อนข้างแข็ง
ระยะที่ 3 อุจจาระมีลักษณะคล้ายไส้กรอก มีร่องลึกที่ผิว ค่อนข้างนิ่ม
ระยะที่ 4 อุจจาระมีลักษณะคล้ายไส้กรอก แต่นุ่มและลื่น
ระยะที่ 5 อุจจาระเป็นก้อนขนาดค่อนข้างเล็ก นุ่ม
ระยะที่ 6 อุจจาระมีลักษณะฟูและยุ่ย ไม่เป็นก้อน ค่อนข้างเละ
ระยะที่ 7 อุจจาระมีลักษณะเหลว ไม่มีของแข็งปน
เมื่อเด็กรู้สึกเจ็บเวลาถ่าย เด็กก็จะกลั้นอุจจาระหรือหยุดเบ่งโดยไม่รู้ตัว โดยปกติแล้วความถี่ในการถ่ายอุจจาระของเด็กจะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุ ทารกแรกเกิดถ่ายอุจจาระวันละ 4-8 ครั้ง ช่วง 2 เดือน อาจถ่ายลดลง เป็น 2-4 ครั้งต่อวัน เมื่อโตขึ้นความถี่ในการถ่ายอุจจาระจะลดลง และไม่จำเป็นว่าความถี่ในการถ่ายอุจจาระลดลงจะทำให้ท้องผูกเสมอไป เช่น เด็กบางคนอาจถ่ายแค่ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ลักษณะของอุจจาระ นิ่มไม่แข็ง ถ่ายในปริมาณที่ปกติ ก็ถือว่าไม่ใช่อาการท้องผูก
• ในเด็กทารก อาการท้องผูกมักเกิดขึ้นกับเด็กที่ดื่มนมผง หรืออาหารเสริม
• ดื่มน้ำน้อย
• กลั้นอุจจาระ เนื่องจากเด็กอาจห่วงเล่น พอรู้สึกปวดหรือถึงเวลาขับถ่ายกลับไม่ยอมถ่าย
• ไม่ชอบกินผักและผลไม้ ในผักผลไม้เป็นอาหารที่มีเส้นใยสูง ซึ่งช่วยในเรื่องการขับถ่าย
1. ในเด็กทารก ควรเลือกให้ดื่มนมแม่จะดีที่สุด เนื่องจากในนมแม่มีสารอาหารที่ดี ทำให้ระบบการขับถ่ายของเด็กเป็นไปอย่างปกติ
2. ให้เด็กดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อวันตามที่ร่างกายต้องการได้รับ
3. ฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลาทุกวัน เมื่อเด็กอายุ 1 ปี ขึ้นไป ควรฝึกนั่งกระโถนหรือชักโครก ไม่ควรดุหรือทําโทษ เพราะจะทําให้เด็กเครียด มีความรู้สึกไม่ดีกับการขับถ่ายจนทำให้เกิดการต่อต้านได้
4. ควรให้คําชมเชยเมื่อเด็กให้ความร่วมมือที่ดีในการฝึกถ่ายอุจจาระ เช่น บอกได้เมื่อถึงเวลาอยากถ่าย เป็นต้น