ถ้าเป็นกรณีนี้ เด็กจะมีอาการดีขึ้นเองเมื่อตื่นขึ้น แต่ที่อันตรายคือเด็กที่มีปัญหาของต่อมทอนซิลอุดกั้น ส่วนใหญ่จะพบในเด็กอายุ 2 – 6 ปี เพราะในเด็กวัยนี้จะมีต่อมทอนซิล และต่อมอะดีนอยด์ ที่ทำให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจ (Obstructive Sleep Apnea Syndrome : OSAS) จนเกิดเสียงกรนที่เป็นภาวะอันตราย มีอาการนอนกรนเสียงดัง เสียงขาด ๆ หาย ๆ เหมือนหายใจไม่ออก กลางวันนอนงัวเงีย อารมณ์หงุดหงิดง่าย ตอนนอนหายใจแต่หน้าอกไม่ค่อยขยับ
อาการนอนกรนจะทำให้การนอนหลับไม่มีคุณภาพ มีผลกระทบโดยตรงทั้งทางด้านร่างกาย และพัฒนาการทางด้านสมอง เสี่ยงต่อการเป็นเด็กสมาธิสั้น พฤติกรรมก้าวร้าว เรียนรู้ช้า และหากมีอาการหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วยอาจมีอันตรายถึงชีวิต อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
โดยให้เด็กเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลาสม่ำเสมอ สำหรับเด็กที่มีโรคอ้วนร่วมด้วยให้ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายเป็นประจำ
ให้ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือและหลีกเลี่ยงอาหารที่จะทำให้มีน้ำมูกเพิ่มขึ้น เพราะน้ำมูกจะยิ่งเข้าไปอุดตันทำให้เด็กหายใจทางจมูกลำบาก
ผ้าปูที่นอน และผ้าห่ม ของใช้ในบ้านทุกชนิด ที่จะก่อให้เกิดการระคายเคืองกับจมูก เพื่อป้องกันการเพิ่มของเชื้อโรคที่มากับฝุ่น
ให้จับเด็กนอนในท่าตะแคงเพื่อลดอาการกรน
อย่าให้ลมโดนหน้าอกเด็กมากจนเกินไป ถ้าโดนฝนหรือจำเป็นต้องไปว่ายน้ำ ควรรีบเช็ดตัวให้แห้งแล้วใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่น และก่อนนอนควรอาบน้ำอุ่นเพื่อทำให้จมูกและระบบทางเดินหายใจโล่งขึ้น
ควรให้เด็กดื่มน้ำเยอะ ๆ ระหว่างวัน เพื่อให้ร่างกายได้ดูดซับน้ำไว้ใช้ในตอนนอน เพราะตอนนอนจมูกและเพดานจะแห้งลงจนทำให้เกิดเสียงกรนได้ง่ายขึ้น