การที่ลูกเกิดความกลัวในแต่ละเรื่องคุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามหาสาเหตุให้เจอและพยายามแก้ไข เพราะบางครั้งการที่ปล่อยให้เด็กมีความกลัวบางอย่างจนฝังใจ สิ่งที่กลัวอาจจะกลายเป็นปมปัญหา และสร้างอุปสรรคในการใช้ชีวิตได้เมื่อโตขึ้น
ใช้เหตุผลในการพูดคุย ไม่ควรใช้คำพูดในเชิงลบที่ทำให้เด็กรู้สึกว่าเป็นความผิดที่ตนเองกลัวในสิ่งต่าง ๆ หรือทำให้เด็กรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอาย เช่น “ไม่เห็นต้องกลัวเลยแค่นี้เอง” หรือ “คนอื่นยังไม่กลัวเลย” ควรใช้คำพูดในเชิงบวกที่ทำให้เด็กเกิดกำลังใจ เพราะในแต่ละคนมีพื้นฐานความมั่นคงทางอารมณ์ไม่เท่ากัน
บางครั้งสิ่งที่ทำให้ลูกรู้สึกกลัวคือ ความกังวลใจ เช่น กังวลที่จะแยกจากผู้เลี้ยงดู คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักรับมือกับความกังวลใจ เช่น ให้ลูกฟังเพลงเมื่อรู้สึกกลัว เพราะเสียงเพลงมีแนวโน้มทำให้เด็กสงบลง หรือสอนให้ลูกรู้จักวิธีดึงตนเองออกจากความกลัว ซึ่งกิจกรรมที่ใช้สมาธิจะได้ผลดี เช่น การนับเหรียญ การบอกชื่อเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน การระบุอาหารที่โปรดปราน
ปล่อยให้ลูกกำหนดระยะ และไม่บังคับให้เขาทำสิ่งใด ๆ โดยไม่สะดวกใจ เช่น เด็กที่กลัวสุนัขอาจเริ่มต้นโดยการอ่านหนังสือเกี่ยวกับสุนัข เมื่อเขารู้สึกสบายใจลองขั้นตอนต่อไป โดยการดูหนังเกี่ยวกับสุนัข ขั้นต่อไปอาจมองสุนัขเพื่อนบ้านที่อยู่ในรั้ว จากนั้นมองคุณพ่อคุณแม่เล่นกับลูกสุนัข ขั้นตอนสุดท้ายคือ การสัมผัสหรือจับลูกสุนัขด้วยตนเองโดยมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ใกล้ ๆ เมื่อเด็กรู้สึกอุ่นใจกับลูกสุนัข เขาก็จะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับสุนัขตัวใหญ่ขึ้นได้ไม่ยาก
การผ่อนคลายช่วยให้เด็กปลดปล่อยอารมณ์ที่เกิดจากความกังวลใจ นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จะใช้เทคนิคที่ให้เด็กลองจินตนาการ โดยให้นึกถึงสิ่งที่ชอบซึ่งจะทำให้รู้สึกมีความสุขเมื่อนึกถึง เช่น การเล่นนอกบ้าน การไปทะเล การไปเที่ยวสวนสนุก กิจกรรมเหล่านี้จะดึงเด็กออกจากความรู้สึกกลัวได้เป็นอย่างดี สุดท้ายเขาก็จะลืมสิ่งที่กำลังกลัวอยู่
คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยให้ความอบอุ่น สร้างความมั่นคงทางอารมณ์ให้ลูกโดยไม่ทอดทิ้งไปไหน จะช่วยให้ลูกไม่กลัวสิ่งใหม่ ๆ ที่ได้พบเห็น เช่น ถ้าลูกกลัวเสียงฟ้าร้อง ก็ควรโอบกอดเขาไว้และเล่าถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นนี้ให้ลูกฟัง จะเป็นในรูปแบบนิทาน หรือเชิงวิทยาศาสตร์ก็ได้ การทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยลดความกลัวให้ลูกได้แล้ว ยังเป็นการปลูกฝังการรู้จักคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลให้เขาด้วย