โรคหูน้ำหนวก เป็นโรคที่พบบ่อยโดยเฉพาะในเด็กเล็ก เนื่องจากท่อปรับความดันของหูชั้นกลางยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ จึงเกิดภาวะติดเชื้อหรือเป็นหวัดได้ง่าย อาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย ทั้งจากอาการไข้หวัดและปอดบวม โดยเชื้อเหล่านี้จะก่อให้เกิดอาการอักเสบที่หูชั้นกลาง จนมีน้ำหนวกหรือน้ำหนองไหลออกมาจากรูหูได้ สามารถจำแนกลักษณะของโรคหูน้ำหนวก 3 ชนิด ดังนี้
1. หูน้ำหนวกชนิดเฉียบพลัน : เกิดจากการติดเชื้อ พบบ่อยในเด็กเล็กหลังจากเป็นไข้หวัด หรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ มีกมีอาการค่อนข้างรุนแรง
2. หูน้ำหนวกชนิดใส : เกิดจากการทำงานของท่อระบายอาการศในหูชั้นกลางบกพร่อง ทำให้มีน้ำขังอยู่ เด็กจะรู้สึกเหมือนมีน้ำขังอยู่ในหูตลอดเวลา
3. หูน้ำหนวกชนิดเรื้อรัง : เกิดจากหูชั้นกลางอักเสบเป็นระยะเวลามากกว่า 3 เดือน เด็กจะมีน้ำหนวกไหลออกมาเป็นบางครั้ง หากปล่อยไว้จะก่อให้เกิดอันตรายได้
• มีน้ำหนวก น้ำเมือก หรือน้ำหนองไหลออกมาจากหู
• เด็กมักร้องไห้งอแงเนื่องจากปวดหูมาก
• มีไข้ และมีน้ำมูก
• ประสิทธิภาพในการได้ยินลดลง หรือหูอื้อ
• ปวดหัวหรือเวียนหัว
คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าอาการปวดหูของลูกขณะเป็นไข้หวัด เป็นอาการข้างเคียง จึงปล่อยปละละเลยและคิดว่าอาการเหล่านี้จะทุเลาไปเองเมื่อลูกหายจากหวัด ซึ่งหากไม่หมั่นสังเกตอาการปวดหูของลูก คอยส่องดูในหูว่ามีรูหรือมีน้ำหนองหรือไม่ ก็อาจส่งผลให้หูของลูกอักเสบ และก่อให้เกิดเปฌนโรคหูน้ำหนวกได้
สุขอนามัยที่ดีย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของลูก หากปล่อยให้บริเวณใบหูของลูกมีคราบเหงื่อไคล หรือให้ลูกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง อาจส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ เข้าไปในหูของลูกได้ง่ายขึ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลความสะอาดบริเวณใบหูของลูกบ่อย ๆ และควรเช็ดให้แห้งหลังจากอาบน้ำสระผมเสร็จ
การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอนับเป็นเกราะป้องกันภัยชั้นเยี่ยมที่ช่วยให้ลูกห่างไกลจากโรคภัยต่าง ๆ ได้ นอกจากการออกกำลังกายแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกกินอาหารที่มประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเขาไปด้วยอีกทางหนึ่ง
หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นความผิดปกติบริเวณใบหูของลูก หรือสงสัยว่าลูกอาจเป็นโรคหูน้ำหนวก ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโดยเร็ว เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลามกลายเป็นโรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือหูหนวก ตามมาในภายหลังได้
หลังจากแพทย์วินิจฉัยอาการแล้ว อาจได้รับยาหยอดหูหรือยากินตามความรุนแรงของโรค ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และเมื่อครบกำหนดควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการอีกครั้ง หากลูกอาการยังไม่ดีขึ้น อาจต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการทั้งหมดให้หายไป