• ขยี้ตาบ่อย ๆ
• จ้องมองสิ่งต่าง ๆ ในระยะใกล้มาก ๆ
• เวลาโยนรับ-ส่งลูกบอลมักพลาดบ่อย ๆ
• ปวดหัวเป็นประจำ
• เวลาอ่านหนังสือหรือดูโทรทัศน์มักเพ่งหรือหยีตา
• ไม่สามารถดูภาพยนตร์สามมิติได้
• หรี่ตาหรือเอียงศีรษะเมื่อต้องมองสิ่งที่อยู่ไกล
หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นอาการของลูกในลักษณะนี้ แสดงว่าเด็กมีปัญหาด้านสายตา ควรรีบพาลูกไปตรวจสายตา
• สายตาสั้นจากกรรมพันธุ์ พบว่าถ้าพ่อแม่คนใดคนหนึ่งมีสายตาสั้น ลูกที่เกิดมามักจะมีโอกาสสายตาสั้นมากกว่าคนทั่วไป ประมาณ 25% หรือหากพ่อแม่สายตาสั้นทั้งคู่ ลูกมีโอกาสสายตาสั้น 50%
• สายตาสั้นจากสิ่งแวดล้อม จะพบเด็กสายตาสั้นได้บ่อยในกลุ่มเด็กที่เรียนหนังสือมาก ดูโทรทัศน์มาก เล่นเกม และใช้คอมพิวเตอร์มาก เพราะต้องใช้สายตาเพ่งมองมาก ๆ และเพ่งมองใกล้ ๆ
• นอกจากนี้ยังพบสายตาสั้นในเด็กที่คลอดก่อนกำหนด เพราะเด็กที่มีน้ำหนักแรกคลอดต่ำ มักมีจอประสาทตาเสื่อมจากการคลอดก่อนกำหนด หรือเด็กที่มีจอประสาทตาเสื่อมมองกลางคืนไม่ชัด เป็นต้น
1. อย่าให้เด็กหมกมุ่นกับกิจกรรมที่ใช้สายตาระยะใกล้มากเกินไป
อย่างเช่น การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ การดูโทรทัศน์ ควรหากิจกรรมที่ทำในที่โล่งแจ้ง เพื่อกระตุ้นการใช้สายตาระยะไกล
2. เมื่อต้องทำกิจกรรมที่ใช้สายตาควรให้ลูกพักสายตาบ้าง
ทุกครั้งที่ลูกอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ หรือใช้คอมพิวเตอร์ ควรให้เขาละสายตาจากหน้าจอทุก 20 นาที แล้วมองสิ่งอยู่ห่างไปประมาณ 20 ฟุต (6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที แล้วค่อยกลับมาดูใหม่
3. ไปตรวจสายตาสม่ำเสมอโดยจักษุแพทย์
อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเช็คระบบประสาทตา และสายตาโดยรวม เพราะการตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงเรียนอาจไม่เพียงพอ ทางที่ดีพาลูกไปตรวจสายตาเพื่อความมั่นใจ
4. ถ้ามีภาวะสายตาสั้นและมองไกลไม่ชัดควรตัดแว่นให้เด็กใส่
เพื่อใช้มองไกลให้ชัด เจน และควรถอดแว่นตาทุกครั้งที่ใช้สายตาระยะใกล้ (อ่านหรือเขียนหนังสือ)
5. สอนให้เด็กรู้จักการผ่อนคลายดวงตา
เช่น ใช้ฝ่ามือ กดลูกตาผ่านบริเวณเปลือกตาที่ปิดสนิท เพื่อส่งแรงดันกดลูกตา ให้สั้นลง และคลายอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อวงแหวน ทำวันละ 1 ครั้ง ๆ ละ 60 วินาที ก่อนนอน และเวลามีอาการสายตาล้าจากการใช้สายตาระยะใกล้นาน ๆ