Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

10 เหตุผลสำคัญที่ทำให้คู่รักต้องเลิกรา !

Posted By Pang W. | 12 ก.พ. 60
10,861 Views

  Favorite

เป็นเรื่องธรรมดาของคู่รักที่แรกเริ่มด้วยความหวาน เข้ากันได้ดี ว่าอะไรก็ว่าตามกัน ทุกอย่างมันถูกใจใช่เลย แต่พอนานไปอะไร ๆ ก็ไม่สวยงามเหมือนเคย ต่างฝ่ายต่างเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น... หลาย ๆ คู่ที่ไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้จึงต้องลงเอยด้วยการเลิกรา


แต่เพราะการตัดสินใจเลิกกันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ 

หลายคนมีความรู้สึกจากสัญชาตญาณลึก ๆ ว่าอย่างไรก็ไปกันไม่รอดแน่นอน

แต่ก็มองข้ามสัญญาณเตือนเหล่านั้นไปเพราะยังลังเล ยังไม่กล้าพอ

กลัวเป็นโสดแล้วเหงา ฯลฯ แต่การฝืนตัวเองให้ทนอยู่ในความสัมพันธ์

ที่รู้ดีว่าสักวันต้องเลิกกันแน่ ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องดีต่อฝ่ายไหนเลย

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในความสับสนลังเล

จะเอาอย่างไรดีกับความสัมพันธ์นี้ สูดหายใจเข้าลึก ๆ

แล้วลองดู 10 สัญญาณเตือนรักล่มนี้ว่าคู่ของคุณเข้าข่ายหรือยัง

 

1.    มองไม่เห็นอนาคตร่วมกัน

ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ความฝัน

การย้ายที่อยู่ในอนาคต หรือมุมมองชีวิตด้านต่าง ๆ 

มันแน่อยู่แล้วที่คนสองคนจะมีความคิดเห็นและจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน

แต่ความต่างนั้นสามารถอยู่ร่วมกันได้หรือเปล่า

แผนการที่วางไว้คิดเผื่อคู่ของคุณด้วยหรือเปล่า

และถ้าหากความต้องการขัดแย้งกัน ใครคนใดคนหนึ่ง

จะยอมลดความเป็นตัวเองลงมาให้อีกฝ่ายได้หรือเปล่า

คุณสองคนสามารถเปิดใจหารือกันถึงความเป็นไปได้บ้างไหม

 

จำไว้ว่าความรักที่ดีคือความรักที่คุณมีแล้วไม่อึดอัด
ไม่เป็นทุกข์กับตัวเลือกที่คุณสองคนต้องเลือกด้วยกัน

 


2.    สิ่งที่คุณทำไม่เคยดีพอสำหรับเขา

หากคุณรู้ตัวว่าพยายามทำอย่างเต็มที่แล้วให้เขามีความสุข

แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น ก็เป็นไปได้ว่าคุณกำลังทุ่มเทให้ผิดคน

และมันไม่ใช่ความผิดของคุณที่เขาไม่เห็นค่าในสิ่งที่คุณทำให้

แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ลองเปิดอกคุยกันด้วยเหตุและผลดูก่อน

บางทีเขาอาจกำลังงานยุ่ง เครียด มีปัญหาร้อยแปดให้กังวล

ทำให้เขามองข้ามความใส่ใจของคุณไปบ้าง หากเขายังแคร์คุณอยู่

การบอกความรู้สึกของคุณออกไปอย่างไม่งอแงดราม่า

ก็จะทำให้เขาเข้าใจและหันกลับมาแก้ไขได้

แต่หากคุยแล้วอีกฝ่ายยังเหมือนเดิม ก็เตรียมใจไว้ดีกว่า

 

บอกตัวเองเสมอว่าก่อนรักใครต้องรักตัวเองก่อน
ดังนั้นอย่าทำร้ายจิตใจตัวเองด้วยการฝืนทนต่อไป

 


3.    หาข้อดีของเขาให้พูดถึงไม่เจอ

ลองสมมติว่าใครสักคนถามคุณว่าเขามีข้อดีอะไรบ้าง

ทำไมคุณถึงคบกับเขา แล้วไล่คำตอบออกมาเป็นข้อ ๆ ดู

มันเป็นเรื่องธรรมดาของการคบกันมาสักระยะหนึ่งที่ตอนแรก ๆ

คุณอาจลิสต์ข้อดีออกมาได้เป็นสิบ ๆ ข้อ

นานวันเข้าข้อดีก็น้อยลงเพราะเห็นตัวจริงกันมากขึ้น

แต่อย่างน้อยคนที่คุณเลือกก็ไม่ควรมีแต่ข้อเสีย

ให้คุณพูดหรือบ่นถึงตลอดเวลา เพราะนั่นเป็นสัญญาณของการไม่มีความสุขในความสัมพันธ์แล้วล่ะ

 

 

4.    ทะเลาะกันบ่อยจนเคยชิน

เป็นเรื่องธรรมดาที่คู่รักต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง

แต่อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ที่ดีก็ควรมีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกัน

มากกว่าทะเลาะกัน ถ้าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ กลายเป็นชนวน

ให้ทะเลาะแล้วบานปลายเป็นเรื่องใหญ่นั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่

แต่ก่อนปักใจว่าต้องเลิกกัน ต้องมั่นใจก่อนว่าคุณทั้งคู่

ได้พยายามคุยกันอย่างมีเหตุผล พยายามใจเย็น ไม่เอาแต่อารมณ์

และอยู่กับปัจจุบันมากกว่าขุดเรื่องในอดีตขึ้นมาพูด

หากพยายามกันอย่างที่สุดแล้วแต่ไม่มีใครยอมใคร ก็คงถึงคราวต้องตัดใจ

 


5.    คุณรู้สึกซึมเศร้าและร้องไห้บ่อย

อาการซึมเศร้าเป็นสัญญาณเตือนที่แน่ชัด

ว่าอะไรบางอย่างในชีวิตคุณต้องการการเปลี่ยนแปลง

บางทีอาจเป็นช่วงมรสุมชีวิตที่หลาย ๆ อย่างรุมเร้าเข้ามาพร้อมกัน

ลองลิสต์สิ่งที่บั่นทอนจิตใจคุณออกมาเป็นข้อ ๆ

แล้ววิเคราะห์สาเหตุของปัญหาเหล่านั้นดู

หากมีหลายเรื่องที่เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ของคุณ

ก็คงได้เวลาก้าวออกมาเสียที

อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความทุกข์
เพราะคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใครได้นอกจากตัวคุณเอง

 


6.    พวกคุณไม่ได้เจอกันบ่อยเท่าที่ควร

มีคู่รักหลายคู่ที่ยังคบกันรอดแม้ว่าต้องอยู่ไกลกัน

โดยได้เจอกันแค่ปีละไม่กี่ครั้ง แต่ก็ใช่ว่าทุกคู่

จะสามารถประคับประคองความสัมพันธ์ทางไกลได้

ในกรณีที่อยู่ไกลกันคงต้องขึ้นกับการตกลงกัน

ตามแต่สถานการณ์ของแต่ละคู่ หากคุณยอมรับได้

และไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรู้สึกถูกเอาเปรียบ

ต้องเป็นฝ่ายทุ่มเทไปหาอีกฝ่ายตลอดเวลาจนท้อใจก็เป็นเรื่องที่ดี

แต่สำหรับคู่ที่ไม่ได้อยู่ห่างไกลกันขนาดนั้นแต่กลับไม่ค่อยได้เจอเขา

เพราะข้ออ้างต่าง ๆ นานานั้น จริงอยู่ว่าการคบหากัน

อาจไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอด

แต่ความถี่ของการเจอกันก็ไม่ควรทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

รู้สึกลำบากใจอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าคุณสองคนตกลงกันว่า

จะเจอกันอาทิตย์ละครั้งหรือเดือนละครั้งแล้วคุณรับได้ก็ไม่มีปัญหา

แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกเหนื่อยเพราะเป็นฝ่ายพยายาม

เจอเขาอยู่ฝ่ายเดียวแล้วล่ะก็ นั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีแล้วล่ะ

 


7.    คุณแอบมีกิ๊ก

ข้อนี้คงแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มแอบมีกิ๊ก

มันแปลว่าความสัมพันธ์ของพวกคุณเริ่มสั่นคลอนแล้วล่ะ

แม้บางคนอาจจะไม่ได้มีกิ๊กเป็นตัวเป็นตน

แต่ถ้าคุณเริ่มเฟลิร์ตใส่เพื่อนร่วมงานแล้วรู้สึกกระชุ่มกระชวย

รู้สึกพิเศษพอเขาเฟลิร์ตกลับมาด้วย

แบบนี้ก็ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณแฮปปี้กับการเฟลิร์ต

มากกว่ากับแฟนตัวจริงของคุณ

การเฟลิร์ตไปมาทำให้เรารู้สึกพิเศษ รู้สึกได้รับความสนใจ

แต่ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ เป็นเพราะแฟนคุณไม่ให้ความสนใจคุณ

มากพอหรือเปล่า หรือแค่เพราะคุณเบื่ออยากหาความตื่นเต้นให้ชีวิต

ลองนั่งทบทวนคุยกับตัวเองอย่างตรงไปตรงมาดู

ปัญหาในความสัมพันธ์มีไว้ให้แก้ไขไปด้วยกัน

แต่ถ้าแก้ไม่ได้ก็โบกมือลากันเสียแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่า


8.    คุณไม่เชื่อใจเขา

รากฐานของความสัมพันธ์คือความเชื่อใจ

ดังนั้นเมื่อใดที่คุณรู้สึกไม่มั่นใจ มีคำถามในใจ

ว่าคุณเชื่อใจผู้ชายคนนี้ได้ไหม

ก็มีโอกาสสูงว่าความสัมพันธ์ของคุณอยู่ในจุดเสี่ยง

การไม่เชื่อใจกันเป็นบ่อเกิดของปัญหาทั้งหลาย

ก่อให้เกิดความหวาดระแวง ที่นอกจากจะทำให้ตัวคุณเอง

ตกอยู่ในความคิดแง่ลบทั้งหลายแล้ว

มันอาจแสดงออกมาเป็นอาการหึงหวงเกินเหตุ

และในที่สุดอีกฝ่ายก็รู้สึกเหมือนโดนจับตามอง

ไม่เป็นอิสระ และไม่มีความสุขในที่สุด

ดังนั้นสาว ๆ ถ้าสงสัยในพฤติกรรมของแฟน

จงเปิดใจถามอย่างตรงไปตรงมาไม่ดราม่า

เคลียร์ให้จบไปเป็นเรื่อง ๆ และเชื่อในสิ่งที่เขาพูด

หากคุณทำได้ก็ยินดีด้วยแสดงว่าคู่ของคุณได้ไปต่อ

แต่ถ้าพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น ยังหวาดระแวง

ไม่เชื่อใจเขาอยู่ดีก็ควรตัดใจแล้วเดินออกมาซะก่อนที่อะไร ๆ จะแย่ลงไปกว่าเดิม

 


9.    เมื่อคุณเริ่มโกหกกับเขา

การเริ่มโกหกไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามถือเป็นจุดเริ่มต้น

ที่นำมาซึ่งเรื่องโกหกอื่น ๆ อีกในอนาคต

และตัวคนโกหกเองนั่นแหละที่จะมีความทุกข์

เพราะต้องคอยแต่งเรื่องที่ไม่จริงมาพูดเสมอ

หากโกหกเพื่อปกปิดความผิดสักวันความผิดนั้นก็จะปรากฎ

สู้ยอมรับกับเขาไปเลยดีกว่าแล้วเคลียร์ปัญหาให้จบสิ้นไป

ไม่ต่างจากการโกหกเพื่อปิดบังตัวตนที่แท้จริง

แรก ๆ คุณอาจโอเคที่ต้องโกหกเล็กน้อยอย่างเพื่อให้เขาชอบหรือประทับใจ

แต่นานวันเข้าตัวตนที่แท้จริงของคุณจะเปิดเผยออกมา

แล้วต่างฝ่ายก็ต้องผิดหวัง ดังนั้นซื่อสัตย์และเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด

แต่ถ้ารู้ว่าพูดความจริงหรือแสดงธาตุแท้ออกไปแล้วมันไม่ใช่แน่ ๆ ก็อย่าฝืนตัวเองเลย

 


10.    คุณบอกตัวเองว่า “รอจน.... แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”

ไม่ว่าจะรอมีบ้าน รอจนมีลูก รอจนได้เงินเดือนเยอะขึ้น ฯลฯ

ที่คุณคิดว่ามันจะช่วยให้ปัญหาความสัมพันธ์ของคุณทั้งคู่ดีขึ้น

นี่เป็นสัญญาณไฟแดงแปร๊ดให้คุณควรหยุดคิดทบทวนให้มาก ๆ

ก่อนจะก้าวเดินต่อไปกับรักครั้งนี้

เพราะเมื่อคุณเริ่มหวังพึ่งความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ให้เปลี่ยนรักของคุณให้ดีขึ้น แสดงว่าคุณหมดหวังกับปัจจุบันแล้ว

แต่คุณแค่ยังไม่กล้าพอที่จะหยุดมัน ตัวอย่างเช่น

เขาเจ้าชู้หนักมาก ออกเที่ยวทุกคืน แต่คุณยังรักเขา

ไม่อยากเสียเขาไปตอนนี้ คุณเลยคิดว่าเดี๋ยวถ้าแต่งงาน

มีลูกกันเขาคงจะทำตัวเป็นพ่อที่ดีแล้วปัญหาต่าง ๆ ก็จะหมดไป

 

แต่ต้องอย่าลืมว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนใจใครได้
นอกจากตัวเขาอยากเปลี่ยนเอง

 

หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วพบว่าคู่ของคุณกำลังอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวมากกว่าครึ่ง เราขอเป็นกำลังใจให้คุณผ่านพ้นการตัดสินใจนี้ไปให้ได้ แต่อย่างไรก็ตามอย่าละเลยการพูดคุยที่มีเหตุผลและตรงไปตรงมาเด็ดขาด อย่าเพิ่งคิดมากไปฝ่ายเดียว มีหลายคู่ที่ทำท่าจะเลิกกันแต่ในที่สุดก็แก้ไขปัญหาไปด้วยกันได้และกลับมารักกันมากกว่าเดิมอีก ขึ้นอยู่กับคุณสองคนแล้วล่ะว่ายังอยากอยู่ด้วยกันต่อไปมากแค่ไหน

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Pang W.
  • 2 Followers
  • Follow