แต่เพราะการตัดสินใจเลิกกันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ
หลายคนมีความรู้สึกจากสัญชาตญาณลึก ๆ ว่าอย่างไรก็ไปกันไม่รอดแน่นอน
แต่ก็มองข้ามสัญญาณเตือนเหล่านั้นไปเพราะยังลังเล ยังไม่กล้าพอ
กลัวเป็นโสดแล้วเหงา ฯลฯ แต่การฝืนตัวเองให้ทนอยู่ในความสัมพันธ์
ที่รู้ดีว่าสักวันต้องเลิกกันแน่ ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องดีต่อฝ่ายไหนเลย
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในความสับสนลังเล
จะเอาอย่างไรดีกับความสัมพันธ์นี้ สูดหายใจเข้าลึก ๆ
แล้วลองดู 10 สัญญาณเตือนรักล่มนี้ว่าคู่ของคุณเข้าข่ายหรือยัง
ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ความฝัน
การย้ายที่อยู่ในอนาคต หรือมุมมองชีวิตด้านต่าง ๆ
มันแน่อยู่แล้วที่คนสองคนจะมีความคิดเห็นและจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน
แต่ความต่างนั้นสามารถอยู่ร่วมกันได้หรือเปล่า
แผนการที่วางไว้คิดเผื่อคู่ของคุณด้วยหรือเปล่า
และถ้าหากความต้องการขัดแย้งกัน ใครคนใดคนหนึ่ง
จะยอมลดความเป็นตัวเองลงมาให้อีกฝ่ายได้หรือเปล่า
คุณสองคนสามารถเปิดใจหารือกันถึงความเป็นไปได้บ้างไหม
หากคุณรู้ตัวว่าพยายามทำอย่างเต็มที่แล้วให้เขามีความสุข
แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น ก็เป็นไปได้ว่าคุณกำลังทุ่มเทให้ผิดคน
และมันไม่ใช่ความผิดของคุณที่เขาไม่เห็นค่าในสิ่งที่คุณทำให้
แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ลองเปิดอกคุยกันด้วยเหตุและผลดูก่อน
บางทีเขาอาจกำลังงานยุ่ง เครียด มีปัญหาร้อยแปดให้กังวล
ทำให้เขามองข้ามความใส่ใจของคุณไปบ้าง หากเขายังแคร์คุณอยู่
การบอกความรู้สึกของคุณออกไปอย่างไม่งอแงดราม่า
ก็จะทำให้เขาเข้าใจและหันกลับมาแก้ไขได้
แต่หากคุยแล้วอีกฝ่ายยังเหมือนเดิม ก็เตรียมใจไว้ดีกว่า
ลองสมมติว่าใครสักคนถามคุณว่าเขามีข้อดีอะไรบ้าง
ทำไมคุณถึงคบกับเขา แล้วไล่คำตอบออกมาเป็นข้อ ๆ ดู
มันเป็นเรื่องธรรมดาของการคบกันมาสักระยะหนึ่งที่ตอนแรก ๆ
คุณอาจลิสต์ข้อดีออกมาได้เป็นสิบ ๆ ข้อ
นานวันเข้าข้อดีก็น้อยลงเพราะเห็นตัวจริงกันมากขึ้น
แต่อย่างน้อยคนที่คุณเลือกก็ไม่ควรมีแต่ข้อเสีย
ให้คุณพูดหรือบ่นถึงตลอดเวลา เพราะนั่นเป็นสัญญาณของการไม่มีความสุขในความสัมพันธ์แล้วล่ะ
เป็นเรื่องธรรมดาที่คู่รักต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง
แต่อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ที่ดีก็ควรมีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกัน
มากกว่าทะเลาะกัน ถ้าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ กลายเป็นชนวน
ให้ทะเลาะแล้วบานปลายเป็นเรื่องใหญ่นั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่
แต่ก่อนปักใจว่าต้องเลิกกัน ต้องมั่นใจก่อนว่าคุณทั้งคู่
ได้พยายามคุยกันอย่างมีเหตุผล พยายามใจเย็น ไม่เอาแต่อารมณ์
และอยู่กับปัจจุบันมากกว่าขุดเรื่องในอดีตขึ้นมาพูด
หากพยายามกันอย่างที่สุดแล้วแต่ไม่มีใครยอมใคร ก็คงถึงคราวต้องตัดใจ
อาการซึมเศร้าเป็นสัญญาณเตือนที่แน่ชัด
ว่าอะไรบางอย่างในชีวิตคุณต้องการการเปลี่ยนแปลง
บางทีอาจเป็นช่วงมรสุมชีวิตที่หลาย ๆ อย่างรุมเร้าเข้ามาพร้อมกัน
ลองลิสต์สิ่งที่บั่นทอนจิตใจคุณออกมาเป็นข้อ ๆ
แล้ววิเคราะห์สาเหตุของปัญหาเหล่านั้นดู
หากมีหลายเรื่องที่เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ของคุณ
ก็คงได้เวลาก้าวออกมาเสียที
มีคู่รักหลายคู่ที่ยังคบกันรอดแม้ว่าต้องอยู่ไกลกัน
โดยได้เจอกันแค่ปีละไม่กี่ครั้ง แต่ก็ใช่ว่าทุกคู่
จะสามารถประคับประคองความสัมพันธ์ทางไกลได้
ในกรณีที่อยู่ไกลกันคงต้องขึ้นกับการตกลงกัน
ตามแต่สถานการณ์ของแต่ละคู่ หากคุณยอมรับได้
และไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรู้สึกถูกเอาเปรียบ
ต้องเป็นฝ่ายทุ่มเทไปหาอีกฝ่ายตลอดเวลาจนท้อใจก็เป็นเรื่องที่ดี
แต่สำหรับคู่ที่ไม่ได้อยู่ห่างไกลกันขนาดนั้นแต่กลับไม่ค่อยได้เจอเขา
เพราะข้ออ้างต่าง ๆ นานานั้น จริงอยู่ว่าการคบหากัน
อาจไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอด
แต่ความถี่ของการเจอกันก็ไม่ควรทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
รู้สึกลำบากใจอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าคุณสองคนตกลงกันว่า
จะเจอกันอาทิตย์ละครั้งหรือเดือนละครั้งแล้วคุณรับได้ก็ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกเหนื่อยเพราะเป็นฝ่ายพยายาม
เจอเขาอยู่ฝ่ายเดียวแล้วล่ะก็ นั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีแล้วล่ะ
ข้อนี้คงแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มแอบมีกิ๊ก
มันแปลว่าความสัมพันธ์ของพวกคุณเริ่มสั่นคลอนแล้วล่ะ
แม้บางคนอาจจะไม่ได้มีกิ๊กเป็นตัวเป็นตน
แต่ถ้าคุณเริ่มเฟลิร์ตใส่เพื่อนร่วมงานแล้วรู้สึกกระชุ่มกระชวย
รู้สึกพิเศษพอเขาเฟลิร์ตกลับมาด้วย
แบบนี้ก็ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณแฮปปี้กับการเฟลิร์ต
มากกว่ากับแฟนตัวจริงของคุณ
การเฟลิร์ตไปมาทำให้เรารู้สึกพิเศษ รู้สึกได้รับความสนใจ
แต่ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ เป็นเพราะแฟนคุณไม่ให้ความสนใจคุณ
มากพอหรือเปล่า หรือแค่เพราะคุณเบื่ออยากหาความตื่นเต้นให้ชีวิต
ลองนั่งทบทวนคุยกับตัวเองอย่างตรงไปตรงมาดู
ปัญหาในความสัมพันธ์มีไว้ให้แก้ไขไปด้วยกัน
แต่ถ้าแก้ไม่ได้ก็โบกมือลากันเสียแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่า
รากฐานของความสัมพันธ์คือความเชื่อใจ
ดังนั้นเมื่อใดที่คุณรู้สึกไม่มั่นใจ มีคำถามในใจ
ว่าคุณเชื่อใจผู้ชายคนนี้ได้ไหม
ก็มีโอกาสสูงว่าความสัมพันธ์ของคุณอยู่ในจุดเสี่ยง
การไม่เชื่อใจกันเป็นบ่อเกิดของปัญหาทั้งหลาย
ก่อให้เกิดความหวาดระแวง ที่นอกจากจะทำให้ตัวคุณเอง
ตกอยู่ในความคิดแง่ลบทั้งหลายแล้ว
มันอาจแสดงออกมาเป็นอาการหึงหวงเกินเหตุ
และในที่สุดอีกฝ่ายก็รู้สึกเหมือนโดนจับตามอง
ไม่เป็นอิสระ และไม่มีความสุขในที่สุด
ดังนั้นสาว ๆ ถ้าสงสัยในพฤติกรรมของแฟน
จงเปิดใจถามอย่างตรงไปตรงมาไม่ดราม่า
เคลียร์ให้จบไปเป็นเรื่อง ๆ และเชื่อในสิ่งที่เขาพูด
หากคุณทำได้ก็ยินดีด้วยแสดงว่าคู่ของคุณได้ไปต่อ
แต่ถ้าพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น ยังหวาดระแวง
ไม่เชื่อใจเขาอยู่ดีก็ควรตัดใจแล้วเดินออกมาซะก่อนที่อะไร ๆ จะแย่ลงไปกว่าเดิม
การเริ่มโกหกไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามถือเป็นจุดเริ่มต้น
ที่นำมาซึ่งเรื่องโกหกอื่น ๆ อีกในอนาคต
และตัวคนโกหกเองนั่นแหละที่จะมีความทุกข์
เพราะต้องคอยแต่งเรื่องที่ไม่จริงมาพูดเสมอ
หากโกหกเพื่อปกปิดความผิดสักวันความผิดนั้นก็จะปรากฎ
สู้ยอมรับกับเขาไปเลยดีกว่าแล้วเคลียร์ปัญหาให้จบสิ้นไป
ไม่ต่างจากการโกหกเพื่อปิดบังตัวตนที่แท้จริง
แรก ๆ คุณอาจโอเคที่ต้องโกหกเล็กน้อยอย่างเพื่อให้เขาชอบหรือประทับใจ
แต่นานวันเข้าตัวตนที่แท้จริงของคุณจะเปิดเผยออกมา
แล้วต่างฝ่ายก็ต้องผิดหวัง ดังนั้นซื่อสัตย์และเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด
แต่ถ้ารู้ว่าพูดความจริงหรือแสดงธาตุแท้ออกไปแล้วมันไม่ใช่แน่ ๆ ก็อย่าฝืนตัวเองเลย
ไม่ว่าจะรอมีบ้าน รอจนมีลูก รอจนได้เงินเดือนเยอะขึ้น ฯลฯ
ที่คุณคิดว่ามันจะช่วยให้ปัญหาความสัมพันธ์ของคุณทั้งคู่ดีขึ้น
นี่เป็นสัญญาณไฟแดงแปร๊ดให้คุณควรหยุดคิดทบทวนให้มาก ๆ
ก่อนจะก้าวเดินต่อไปกับรักครั้งนี้
เพราะเมื่อคุณเริ่มหวังพึ่งความเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ให้เปลี่ยนรักของคุณให้ดีขึ้น แสดงว่าคุณหมดหวังกับปัจจุบันแล้ว
แต่คุณแค่ยังไม่กล้าพอที่จะหยุดมัน ตัวอย่างเช่น
เขาเจ้าชู้หนักมาก ออกเที่ยวทุกคืน แต่คุณยังรักเขา
ไม่อยากเสียเขาไปตอนนี้ คุณเลยคิดว่าเดี๋ยวถ้าแต่งงาน
มีลูกกันเขาคงจะทำตัวเป็นพ่อที่ดีแล้วปัญหาต่าง ๆ ก็จะหมดไป