การจะให้เด็กเรียนรู้ภาษาได้ดีนั้นยิ่งเริ่มได้เร็ว ความสามารถในการพูดภาษาที่สองก็ยิ่งมีมากขึ้น โดยเฉพาะก่อนอายุ 3 ขวบเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด และไม่ควรช้าเกิน 7 ขวบ ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่จึงควรเริ่มต้นทันที แม้คุณพ่อคุณแม่จะไม่เก่งภาษาก็สามารถทำได้เช่นกัน
ช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสสุดท้าย คุณพ่อคุณแม่และคนในครอบครัวควรคุยกับลูกบ่อย ๆ ไม่ว่าจะพูดภาษาอะไร ลูกก็จะสามารถจับสำเนียงภาษานั้น ๆ ได้ดีขึ้น จนลูกเกิดมา ในช่วงที่ยังเล็กอยู่ ถ้าเขามีโอกาสฟังคนพูดหลาย ๆ ภาษา ก็จะทำให้การฝึกเป็นไปได้ง่ายขึ้น
หากคุณพ่อคุณแม่ไม่เก่งภาษา อาจเริ่มต้นจากคำง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ข้าวของเครื่องใช้ หรือชื่ออาหาร แล้วบอกลูกว่าสิ่งไหนเรียกว่าอะไร ซ้ำ ๆ ทุกวัน จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มชนิดไปเรื่อย ๆ แล้วเพิ่มประโยคง่าย ๆ เช่น คำสั่ง คำถาม ที่ได้อ่านเตรียมมาสำหรับใช้ในแต่ละวัน เรียกได้ว่าเป็นการฝึกภาษาทั้งคุณพ่อคุณแม่และลูกไปพร้อม ๆ กัน ที่สำคัญคือควรออกเสียงคำให้ถูกต้อง เพื่อให้คุ้นชินจนสามารถฟังและพูดคุยโต้ตอบกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นระบบที่ได้รับความนิยม และได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพในการสอนอย่างเป็นธรรมชาติ คือ ระหว่างพ่อกับแม่ จะต้องตกลงกันว่าใครจะรับบทภาษาอังกฤษและใครจะรับบทภาษาไทย (หรือภาษาอื่น ๆ ) หรือถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่เก่งภาษา ก็อาจจะให้คนอื่น ๆ ในครอบครัวรับผิดชอบสื่อสารกับลูกเป็นภาษานั้น ๆ ตลอดเวลาที่อยู่กับลูก ไม่ควรใช้วิธีไทยคำอังกฤษคำ เพราะจะทำให้ลูกสับสน แยกแยะไม่ออก ซึ่งช่วงแรก ๆ คลังคำศัพท์ของเด็กอาจจะยังไม่มากพอ จึงเกิดอาการพูดปนภาษาบ้าง แต่เมื่อฝึกไปเรื่อย ๆ ลูกจะรู้จักคำมากขึ้น รู้ว่าใครพูดภาษาอะไร และสามารถใช้ภาษาสื่อสารโต้ตอบอย่างเหมาะสมได้เอง
ลองหาของเล่นที่เกี่ยวกับภาษามาให้ลูกเล่น เช่น บัตรคำภาษาอังกฤษ ตุ๊กตาที่มีเสียงพูดสองภาษา หรืออาจจะเปิดเพลงหรือการ์ตูนภาษาอังกฤษ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้การใช้ภาษาอังกฤษอย่างเพลิดเพลิน โดยมีคุณพ่อคุณแม่คอยให้คำแนะนำ
คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกเก่งภาษาด้วยการให้ลูกเรียนในโรงเรียนนานาชาติ และโรงเรียนสองภาษา เพื่อเพิ่มโอกาสการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษให้กับลูก หรืออาจจจะให้ลูกเรียนในโรงเรียนปกติ แล้วเสริมทักษะด้านภาษาด้วยการเรียนพิเศษที่สถาบันสอนภาษาเพิ่มเติม ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องดูองค์ประกอบความพร้อมในหลาย ๆ ด้านของครอบครัวด้วย ว่าควรส่งลูกเรียนโรงเรียนแบบไหนถึงจะเหมาะสม จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง