ซึ่งความจริงแล้วอาการขี้ลืมเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กวัย 3 - 6 ปี เนื่องจากสมองของเด็กยังไม่สมบูรณ์พอที่จะคิดทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ ไม่สามารถคิดวางแผนว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลังได้ โดยจะจำได้แค่ทีละ 1 - 2 อย่างเท่านั้น นอกจากนี้เด็กในวัยนี้จะยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง จึงคิดถึงแต่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองเท่านั้น เช่น อยากจะกินอะไร จะเล่นตอนไหน ซึ่งไม่สามารถจดจำอะไรที่ซับซ้อนได้มากไปกว่านี้ แต่ทั้งนี้ความจำของเด็กจะพัฒนามากขึ้นตามวัย ซึ่งจะสามารถจดจำเรื่องราวในแต่ละวันได้ดีขึ้น และอาจมีอาการขี้ลืมน้อยลง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีความจำที่ดีได้ตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อฝึกให้ลูกรู้จักจดใจและใส่ใจเรื่องราวรอบตัวให้มากขึ้นด้วยวิธีการง่าย ๆ โดยเริ่มได้ตั้งแต่ที่บ้าน
เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจให้ลูกได้จดจำสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน อาจจะใช้การติดโน้ตไว้ตามจุดต่าง ๆ ของบ้าน หรือหาสิ่งของเป็นสิ่งกระตุ้นความจำ เช่น ให้ลูกถือแฟ้มใส่เอกสารไปโรงเรียนและย้ำให้ถือกลับบ้านด้วยทุกวัน เพื่อเอาไว้เก็บใบงานและเอกสารที่คุณครูให้มา เมื่อลูกเห็นแฟ้มก็จะจำได้ว่ามีการบ้านอะไรบ้างหรือมีเอกสารใดที่ต้องแจ้งผู้ปกครอง
จัดตารางในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้ลูกทำอย่างสม่ำเสมอ เช่น ก่อนนอนแต่ละคืนให้ลูกจัดเตรียมสิ่งของทั้งหมดที่ต้องนำไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น เพื่อลดการลืมและให้ลูกได้ฝึกการจัดการตัวเอง รู้จักพึ่งพาตัวเองด้วยเช่นกัน
ควรให้ลูกได้ทำกิจกรรมทีละอย่างเพื่อให้เขาได้ตั้งสมาธิทีละเรื่องหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหลายอย่างพร้อม ๆ กัน เพราะจะทำให้สมาธิในการจำลดลงหรือทำให้จำอะไรไม่ได้เลย
การกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้งห้าหมู่และนอนหลับให้เพียงพอ ก็สามารถลดอาการขี้ลืมได้เพราะการนอนหลับพักผ่อนเต็มที่นอกจากจะทำให้ลูกมีสุขภาพที่ดีแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้สมองแจ่มใสและส่งผลให้มีความจำที่ดีขึ้นด้วยได้ด้วยเช่นกัน
เวลาที่เด็กได้ออกกำลังกายร่างกายจะส่งเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ช่วยเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาท ช่วยเพิ่มจำนวนเส้นเลือดฝอยในสมอง ช่วยกระตุ้นสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ที่ทำหน้าที่บันทึกความจำ ให้จดจำได้ดี ช่วยลดระดับคอร์ทิโซล (Cortisol) หรือสารแห่งความเครียด ช่วยให้สมองสร้างสารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่มีบทบาทต่อการจดจำทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สมองเป็นอวัยวะหนึ่งที่ต้องได้รับการฝึกฝนอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในวัยเด็กสมองอยู่ในช่วงกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว จึงควรสนับสนุนให้ลูกได้มีกิจกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงานของสมอง เช่น เล่นเกมฝึกทักษะต่าง ๆ เล่นดนตรี อ่านหนังสือ ประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้สมองได้ออกกำลัง เพิ่มความคิดที่รวดเร็วฉับไวขึ้น ส่งผลให้มีอาการหลงลืมน้อยลง