แต่ในเรื่องของทฤษฎีมันมีความซับซ้อนมากกว่านั้น หลาย ๆ คนยังมีพฤติกรรมและความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับการดื่มน้ำอยู่ สำรวจตัวเองดูว่าคุณมีพฤติกรรมทำให้ร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอเหล่านี้อยู่รึเปล่า
แม้จะจิบน้ำอย่างสม่ำเสมอระหว่างออกกำลังกาย คุณก็อาจมีแนวโน้มมีอาการปวดหัวจากการขาดน้ำได้ หากไม่ดื่มน้ำก่อนการออกกำลังกาย ดังนั้นควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 ออนซ์ (ประมาณ 240 มิลลิลิตร) ก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที
ได้เวลาปรับทัศนคติกันแล้ว สถาบันทางการแพทย์ออกมาแนะนำว่า จริง ๆ แล้ว เราควรดื่มน้ำ 11.4 แก้วต่อวัน ! ในความเป็นจริงความต้องการน้ำให้ร่างกายของแต่ละคนไม่เท่ากัน แตกต่างกันไปตามขนาดและน้ำหนักตัว และเรายังได้รับน้ำจากการกินผักและผลไม้อีกทางหนึ่งด้วย (แอปเปิ้ล 1 ผลให้ปริมาณน้ำถึง 1 แก้ว) คุณอาจไม่ต้องดื่มน้ำมาก ๆ จนจุกก็ได้ เพียงแค่กินอาหารหรือของว่างที่มีส่วนประกอบของน้ำเยอะ ๆ ก็ช่วยทดแทนได้ หากอยากรู้ว่าในแต่ละวันร่างกายของเราต้องการน้ำเท่าไหร่ ให้ใช้น้ำหนักตัวหาร 2 จะได้ปริมาณน้ำต่อออนซ์ที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน (1 ออนซ์ = 30 มิลลิลิตร)
ความเชื่อที่ว่าดื่มชา กาแฟจะทำให้รู้สึกขาดน้ำเพราะมีคาเฟอีน อาจไม่ถูกต้องนัก เพราะในความเป็นจริง คาเฟอีนมีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะจึงทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ แต่ชา กาแฟเองก็มีส่วนประกอบของน้ำในปริมาณมากเช่นกัน ดังนั้นนิสัยต้องดื่มกาแฟทุกวันก็ยังดีกว่าไม่ชอบดื่มอะไรเลย
บางคนอาจเข้าใจว่าขณะออกกำลังกายต้องดื่มน้ำบ่อย ๆ หรือช่วงอากาศร้อนเท่านั้นจึงต้องดื่มน้ำมากสม่ำเสมอ หรือดื่มน้ำเฉพาะเวลาที่รู้สึกกระหายเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง แม้จะนั่งทำงานชิล ๆ ที่โต๊ะคุณก็จำเป็นต้องเติมน้ำให้กับร่างกาย ควรจิบน้ำสม่ำเสมอตลอดวัน เพราะการดื่มน้ำน้อยทำให้มีโอกาสเป็นโรคนิ่วและโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้
อาการหิวจนแสบท้องอาจเป็นเพราะร่างกายต้องการน้ำ แต่หลายคนสับสนเข้าใจว่าหิวแล้วคือต้องกินข้าวเท่านั้น เมื่อรู้สึกหิวควรดื่มน้ำลงไปก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายต้องการน้ำหรืออาหารกันแน่ ควรฝึกนิสัยการดื่มน้ำเยอะในขณะกินอาหารและของว่างด้วย อย่าลืมติดขวดน้ำไปวางที่หัวเตียง สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อตื่นนอนในตอนเช้าคือ ดื่มน้ำ ร่างกายจะรู้สึกสดชื่นตลอดทั้งวัน