ดังนั้น ความรักจะเป็นสิ่งที่ล้ำเลิศหรือความทุกข์ตรมขึ้นอยู่กับว่ารักด้วยสมอง หรือรักแบบขึ้นสมอง และต้องไม่ยึดติดว่าความรักมีเพียงมิติเดียว คือความรักเชิงชู้สาวเท่านั้น แต่ความรักมีหลายมิติ เปรียบเสมือนบันไดต้องเดินขึ้นไปทีละขั้น จนถึงความหมายของความรัก นั่นคือความสุข ถ้ารักแล้วมีความทุกข์พัฒนาการของความรักยังไม่สมบูรณ์
สำหรับความรักมี 4 แบบ คือ
รักชนิดนี้ถ้ามีมาก ๆ จะทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว
ความรักชนิดนี้จะทำให้เกิดความลุ่มหลง กามารมณ์ หนุ่มสาวจะยึดความรักชนิดนี้เป็นที่พึ่งของชีวิต ยึดติดความใคร่มาใช้ในนามของความรัก จนกลายเป็นความโลภ คือ อยากจะครอบครองใครสักคนให้อยู่ในความควบคุมของเรา พอควบคุมไม่ได้ความรักก็กลายเป็นความร้ายเป็นโศกนาฏกรรม เช่น ทำร้ายคนรัก เผยแพร่คลิปคนรัก สาดน้ำกรดคนรัก เป็นต้น
นี่แหละคือความรักของวัยรุ่นทั้งหลาย คือมีเสน่หา มีความผูกพัน สุดท้ายจะไปลงเอยที่การมีสัมพันธภาพ ถ้าไม่มีเพื่อนคู่คิด มิตรที่ปรึกษา ก็จะกลายเป็นสัมพันธพราก
สมัยก่อนรักตัวสงวนตัว แต่สมัยนี้ใครไม่ทำจะเชย จับมือถือแขนเป็นเรื่องปกติ เรารับวัฒนธรรมมาก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย สมัยก่อนผู้หญิงจะรักษาพรหมจรรย์ก่อนแต่ง แต่สมัยนี้เขาไม่ถือ เป็นเหตุให้มีปัญญาท้องไม่มีพ่อ
สิ่งสำคัญที่สุด คือ
-ถ้าเราเรียนหนังสืออยู่ก็รับผิดชอบเรื่องเรียนได้ ก็มีความรักได้
ในความรักต้องการความรับผิดชอบ ทำให้เรารักอย่างมีวุฒิภาวะ
ถ้าเรารักใครจริง ๆ แล้วเราไม่ทำลายเขาหรอก
ทุกวันนี้วัยรุ่นใช้ความใคร่ในนามของความรัก จริง ๆ ไม่ได้รักหรอก แค่อยากมีสัมพันธสวาท แล้วเรียกสิ่งนั้นว่าความรัก
"ถ้ารักจริงคืออยากเห็นคนที่มีความรักมีความสุข"
ให้เห็นคนทั้งโลกว่าเป็นมิตรแก่เรา
คือ เป็นผู้ให้ รักปัญญาชนไม่คิดจะทำร้ายใคร ไม่หวังผล และพัฒนาจนปลายทางของความรักแท้
ขอให้เยาวชนคนไทยทั้งหลายยึดความรักที่ถูกที่ควร เป็นแนวทางปฏิบัติ ไม่ใช่ไปจมติดกับความรัก