มีพิธีเจรจาลงนามเพื่อสันติภาพในข้อตกลงกรณีพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ณ กรุงโตเกียว หลังจากประเทศไทยและฝรั่งเศสได้ทำข้อตกลงยุติการยิงปะทะกันไปเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2484 ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเชียขณะนั้น ได้เข้ามามีบทบาทเป็นตัวกลางช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย โดยมีนายโซสุเกะ มัดซูโอกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายญี่ปุ่น ฝ่ายไทยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศไทยเป็นหัวหน้าคณะ และฝ่ายฝรั่งเศสมี อาร์เซน อังรี เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงโตเกียวเป็นหัวหน้า
ข้อความในสนธิสัญญาได้ระบุว่าฝรั่งเศสจะยอมเสียดินแดนแขวงหลวงพระบางฝั่งขวาแม่น้ำโขง แคว้นจำปาศักดิ์ และแคว้นเขมรให้แก่ไทย ข้อตกลงดังกล่าวจึงทำให้กรณีพิพาทจบลงด้วยดี และในวันถัดมา 12 มีนาคม พ.ศ.2484 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ และประดับธงชาติญี่ปุ่นคู่กับธงชาติไทยเป็นเวลา 3 วัน พร้อมกับให้มีการสวนสนามฉลองชัยที่พระนคร ในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2484
ก่อนจะมีการลงนามในอนุสัญญาโตเกียว ซึ่งเป็นอนุสัญญาสันติภาพระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 โดยมีกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์เป็นหัวหน้าคณะลงนาม
กรณีพิพาทอินโดจีน หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ สงครามอินโดจีน เป็นเหตุความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศสที่เกิดขึ้นระหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังดำเนินการรบติดพันอยู่ ในทวีปยุโรป แต่ยังไม่ขยายมาสู่ทวีปเอเชีย โดยมีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากเรื่องการอ้างสิทธิเหนือดินแดนอินโดจีนบางส่วนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส คือ ดินแดนลาวและกัมพูชาซึ่งเคยเป็นของไทยมาก่อนที่จะสูญเสียให้ฝรั่งเศสไป ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ในยุคล่าอาณานิคมของมหาอำนาจโลกตะวันตก ซึ่งในครั้งนั้นประเทศไทยจำต้องยอมทำสัญญา และเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสหลายครั้งเพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่ไว้
ในระหว่างเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสเกิดความห่วงใยต่ออาณานิคมของตนในอินโดจีน เพราะเกรงว่าประเทศไทยจะส่งกำลังเข้ายึดครองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ที่ถูกฝรั่งเศสยึดครองไป จึงเสนอขอทำสัญญาไม่รุกรานกับประเทศไทย ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ "พลตรีหลวง พิบูลสงคราม" ในปีพ.ศ. 2483 ได้ยื่นข้อเสนอให้ฝรั่งเศสปรับปรุงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนเสียใหม่ โดยให้ถือแนวร่องน้ำลึกของแม่น้ำโขงเป็นเขตแดนตามแบบสากล และให้ฝรั่งเศสคืนดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงข้ามหลวงพระบางกับปากเซมา และหากฝรั่งเศสไม่ได้ปกครองอินโดจีนแล้วก็ขอให้คืนลาวกับกัมพูชาให้แก่ไทยด้วย
รัฐบาลฝรั่งเศสได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว ประชาชนชาวไทยเกือบทั้งประเทศจึงพร้อมใจกันเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส และสถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างจัดหน่วยกำลังเผชิญหน้ากันตามชายแดนจนเกิดการปะทะกันในที่สุด เมื่อฝรั่งเศสได้ส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนมในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 เหตุการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้จึงได้กลายเป็นสงครามที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อเอกราชและอธิปไตยของชาติไทยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งความขัดแย้งครั้งนี้ยังเป็นชนวนให้มหาอำนาจทางทะเลอย่างอังกฤษต้องเข้ามามีบทบาทเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกาต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวด้วย ทั้งเพื่อปกป้องมหามิตรและพิทักษ์ผลประโยชน์ของตนบนแผ่นดินไทย