ลักษณะของกิจกรรมการเรียนรู้ ที่จะสามารถดึงศักยภาพของนักเรียนออกมา
- ต้องสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนได้รับทักษะที่จำเป็นทั้งทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การสร้างนวัตกรรม การเรียนและการทำงานร่วมกันเป็นทีม ซึ่งจะทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และเห็นภาพในภาวะผู้นำ การสื่อสาร การใช้ข้อมูลและสารสนเทศ เป็นต้น กิจกรรมที่จะสร้างการเรียนรู้ เช่น
- การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning group) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบแบ่งกลุ่ม ซึ่งสมาชิกในกลุ่มมีความสามารถที่แตกต่างกัน ก็จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในหน้าที่คงตนเองและส่วนรวม
- เทคนิคคู่คิด (Think Pair Share) เป็นเทคนิคที่จะต้องใช้คู่กับวิธีการสอนแบบอื่น โดยผู้สอนเป็นผู้ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาให้แก่ผู้เรียน จากนั้นให้ผู้เรียนแต่ละคนหาคำตอบของตนเองก่อน แล้วจับคู่กับเพื่อนอภิปรายหน้าชั้น
- การเรียนรู้แบบใช้เกม (Games) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนนำเกมเข้ามา บูรณาการ โดยสามารถนำมาใช้ได้ทั้งเข้าสู่บทเรียน การสอน การมอบหมายงาน และขั้นตอนการประเมินผล
- การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด (Concept mapping) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนออกแบบแผนผังความคิด เพื่อนำเสนอสิ่งที่เป็นความคิดรวบยอด
- การเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา (STEM Education) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการในเรื่องวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี คณิตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ เน้นให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา เป็นต้น
- สร้างกิจกรรมที่เกิดจากปัญหา เพื่อให้นักเรียน (Result-Based Learning) หาทางออกด้วยการวิเคราะห์แก้ปัญหา จัดทำโครงงานในรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นมา
- ส่งเสริมให้นักเรียนหาคำตอบที่หลากหลาย เช่น ค้นหาคำตอบจากห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ การเรียนรู้นอกห้องเรียน นอกจากการค้นหาในห้องสมุด อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการจำกัดความคิดของผู้เรียน
- สร้างการเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze case studies) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ศึกษาจากกรณีตัวอย่าง วิเคราะห์แลกเปลี่ยนหาแนวทางแก้ไข ทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน ผู้เรียนจะเห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น
- สร้างการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดการกระตือรือร้นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ค้นพบความรู้ใหม่ ๆ เชื่อมโยงกระบวนการเรียนรู้กับวิถีชีวิต ส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ เปิดพื้นที่การสร้างสรรค์เช่นนี้ ย่อมส่งผลดีต่อผู้เรียนในการมีส่วนร่วม นั่นหมายถึงการแสดงความสามารถศักยภาพของผู้เรียนออกมาได้เป็นอย่างดี และเมื่อทำเช่นนี้บ่อยครั้ง ก็จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจความถนัด ค้นหาตัวเองเจอว่าชอบทางไหน ซึ่งครูผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคบาลานซ์การเรียนและกิจกรรม ปรับการสอนให้เข้ากับผู้เรียนแต่ละคนเพื่อดึงความสนใจต่อวิชาที่ยากหรือไม่ถนัด
ที่สำคัญไม่ตีกรอบทางความคิด ไม่ประเมินผลเฉพาะด้านวิชาการอย่างเดียว สร้างสื่อการสอนที่น่าสนใจ วิเคราะห์การประเมินผลแต่ละคนเพื่อดูว่าผู้เรียนคนไหนถนัดวิชาอะไร และพร้อมที่จะผลักดันให้เขาไปได้ไกลกว่าเดิม สิ่งนี้จะทำให้เขามั่นใจตัวเองมากขึ้นว่าเขาทำอะไรได้ดี ถนัดอะไร แม้จะไม่ได้เกรดสี่ทุกวิชาก็ตาม