พระผู้มีพระภาคก็ไม่ได้ทรง ยังทรงอนุเคราะห์ภิกษุผู้ป่วยไข้ที่ขาดผู้ดูแลพยาบาล แม้แต่ในกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของภิกษุสงฆ์ เช่น ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค อรรถกถาอนุรุทธสูตร ขณะที่พระเถระ 3 รูป คือ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ และท่านพระอนุรุทธะช่วยกันทำจีวรของท่านพระอนุรุทธะนั้น แม้พระผู้มีพระภาคเองก็ทรงร้อยเข็มประทานให้
กุลบุตรชาวกรุงสาวัตถีผู้หน
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบว่าพระเถ
หลังจากท่านพระปูติคัสสติสสเถระได้รับการอนุเคราะห์พยาบาลรักษาและอาบน้ำชำระร่
พระศาสดา ทรงทราบว่าจิตของพระปูติคัตต์ พร้อมที่จะรับพระธรรมเทศนาแล้ว จึงตรัสพระคาถา ซึ่งในปัจจุบันมักใช้ในการสวดในพิธีบังสุกุลเป็นว่า
“อจิรํ วตยํ กาโย” กายนี้ไม่นานเลย
“ปฐวึ อธิเสสฺสติ” จักนอนทับถมแผ่นดิน
“อเปตวิญฺญาโณ” เมื่อปราศจากวิญญาณคือตายแล้ว
“ฉุฑฺโฑ” เขาก็เอาไปทิ้ง
“นิรตฺถวํ กลิงฺครํ” เป็นของหาสาระแก่นสารทำประโยชน์อะไรมิได้ เหมือนขอนไม้หรือท่อนกล้วย ฉะนั้น
(คำอธิบายเพิ่มเติม : เมื่อระลึกได้เสมอๆเช่นนี้ จักไม่ประมาทปล่อยขัยวันคืนเดือนปีให้ล่วงไปเสียเปล่า จะได้ขวนขวายรีบร้อนบำเพ็ญประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อม หรือให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาท ให้สมกับเกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา)
พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงอดีตชาติของท่านพระปูติคัสสติสสเถระว่า
ในครั้งศาสนาของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า กัสสปะนั้น ท่านพระปูติคัสสติสสเถระเกิดเป็นพรานนก ฆ่านกขาย นกที่เหลือขายนั้นก็หักกระดูกขาและกระดูกปีก ทิ้งไว้เป็นกองๆ ไม่ให้บินไปได้ เพราะถ้าจะฆ่าให้ตาย นกพวกนั้นก็จะเน่าเสีย ตอนเช้าก็เอานกที่หักปีกหักขาเหล่านั้นไปเที่ยวขายอีก เหลือจากนั้นก็ทำอาหารบริโภคตามต้องการ
วันหนึ่งเมื่อพรานนกนั้นทำอาหารเสร็จแล้ว พระอรหันต์องค์หนึ่งได้เที่ยวบิณฑบาตไปถึงบ้านของนายพรานนก นายพรานนกเกิดความเลื่อมใสจึงได้ถวายอาหารบิณฑบาต และตั้งความปรารถนาที่จะบรรลุธรรม ซึ่งในชาติสุดท้ายท่านก็บรรลุธรรม แต่ว่าอดีตอกุศลกรรมที่ได้ทำไว้ ก็ทำให้ท่านเป็นโรคฝีทั่วตัวจนร่างกายเน่า