“สวัสดีค่ะ ดิฉัน นางสาวดวงฤดี บุญบำรุง และดิฉัน นางสาวขวัญนภา เรืองศรี” สองสาวเจื้อยแจ้วแนะนำตัวแบบนี้ไม่มีใครรู้จัก แต่ถ้าบอกว่าทั้งคู่อยู่ในวงที่มี “โปงลาง” ทุกคนต้องร้องอ๋อทันทีว่าทั้งสองคือ “ลาล่า-ลูลู่ โปงลางสะออน” คู่หูคู่นี้ใช้ความรู้ความสามารถจากการเรียนนาฏศิลป์ ช่วยกันก่อร่างวงดนตรีอนุรักษ์วัฒนธรรมอีสานพื้นบ้านส่งออกไปทั่วประเทศและต่างประเทศ
สาเหตุที่ตัดสินใจเลือกเรียนด้านนาฏศิลป์
ลูลู่: ชอบและรักในศิลปวัฒนธรรมไทยตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ อาจารย์ที่สอนนาฏศิลป์เลยแนะนำพร้อมกับพาไปสมัครที่วิทยาลัยนาฏศิลป์
ลาล่า: ตอนนั้นมีวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ไปแสดงที่บ้านของลาล่า ลาล่าเห็นแล้วอยากเป็นนางไห มันมีความโดดเด่น จนพ่อกับแม่พาไปวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ค่ะ ในส่วนการเรียนมันต่างกับสายสามัญ เราจะมีดัดมือ คลานเข่า มีท่าเบสิค ทุกอย่างจะยากหมด เรียนตั้งแต่ ม.1 น้ำตาแตกแทบทุกวัน เจ็บระบมไปทั้งตัวเลย เหมือนการเรียนยิมนาสติกเลยนะ ต้องตัวอ่อน ต้องฉีกแข้งฉีกขา ต้องเป๊ะ
เพราะอะไรถึงเลือกเรียนต่อวิชานาฏศิลป์ในระดับมหาวิทยาลัยด้วย
ลาล่า: มันเป็นอะไรที่ท้าทาย ในหลักสูตรจะมีแม่ท่าในการต่อ เรามีความรู้สึกว่าเราต้องจบทุกกระบวนการของคำว่านาฏศิลป์ เราต้องรู้ศาสตร์นาฏศิลป์ให้หมด พอจบ ม.6 ลาล่าก็เข้ามาเรียนต่อ มศว อันนี้จะต่างกันแล้ว ส่วนของนาฏศิลป์เป็นวิชาเอกที่ได้เรียนวันละ 3 ชั่วโมง แต่ว่าเขาจะสองเรื่องของการแสดง มีแอคติ้งเข้าไปด้วย คือจะได้ความเป็นไทยกับความเป็นสากล มีความเป็นโมเดิร์นเข้ามาผสม พอเราได้เรียนในสิ่งนี้ก็จะนำมาปรับปรุงวิวัฒนาการเข้ากับตัวเอง
ลูลู่: ของลูลู่ก็มาต่อที่สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล คลองหก (ม.เทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี) ต้องใช้ความคิดและปฏิบัติเยอะกว่าเดิมค่ะ คือเป็นจุดสำคัญของนาฏศิลป์เลย อย่างความหมายที่ลึกลงไป หัวหนุมานสีขาว พระอินทร์สีเขียว ต้องบอกลักษณะให้ได้หมด และเราต้องทำหัวโขนเอง ปักชุดเครื่องเอง ต้องทำให้เป็นทุกอย่าง ตอนทำวิทยานิพนธ์เลือกทำ 2 หัวข้อใหญ่คือ ฟ้อนภูไทของ อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ และอีกอย่างหนึ่งก็ทำแบบประยุกต์ค่ะ
สิ่งสำคัญของคนที่เรียนด้านนาฏศิลป์
ลูลู่: ต้องกล้าแสดงออก ต้องมีความรัก มีความเอาใจใส่ สมมติว่าคนที่จะเรียนหมอก็ต้องรักที่จะเรียนด้วย ไม่อย่างนั้นจะไปไม่ไหวค่ะ
ลาล่า: คือมันไม่ใช่เฉพาะการเลือกเรียนทางด้านนาฏศิลป์ ทุกแขนงทุกสาขาที่สำคัญคือทุกคนต้องมีใจรัก มันถึงจะทำออกมาได้ดี อย่างเรารักตั้งแต่เด็ก เราถึงมาอยู่ ณ จุดนี้ ต้องมีความอดทนและใจรักจริงๆ ถึงจะอยู่กับคำว่านาฏศิลป์ได้
จากการที่กระแสแนวเพลงต่างประเทศเข้ามาในไทยมากขึ้น แต่ทำไมถึงเลือกที่จะรักษาความเป็นไทยไว้
ลาล่า : เจป๊อป เคป๊อป เข้ามาเยอะแยะคือเราเลือกที่จะอนุรักษ์ความเป็นไทยไว้ ถ้าเราลืมสุดท้ายแล้วมันจะไม่มีความเป็นไทยเหลือไว้ให้เห็น และอีกอย่างหนึ่งถึงกระแสเข้ามาก็สามารถอินไปกับเค้า แล้วเอามาผสมผสาน สิ่งที่เราใช้ก็คือดนตรีอีสานของเราค่ะ ฉะนั้นลาล่าก็เลยแบบมีความรู้สึกว่าไม่กลัวกับสิ่งเหล่านี้เข้ามาได้เลย
ลูลู่ : เราฟังได้เราเรียนรู้ได้ แต่ว่าเราเป็นคนไทยเราอย่าลืมสิ่งนี้ เพลงร๊อค เพลงป๊อปเราก็เล่นได้เอาเครื่องอีสานของเรานี่แหล่ะ
ลาล่า : แน่นอนค่ะ เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่ใช้บรรเลง สิ่งที่ใช้เล่นมันก็ดนตรีบ้านเรา อย่างน้อยมันก็มีความเป็นไทยของเราไปผสมผสานกับของเค้าอยู่ และเราก็ไม่ได้ไปเล่นของเค้าจ๋าเลยเราก็มีส่วนเป็นในส่วนของการอนุรักษ์ให้ผู้ชมผู้ฟังไม่ลืม ก็คือที่แน่ๆ ดูเราก็ได้ดูความเป็นไทยแน่นอน
แฟนคลับส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไหน
ลาล่า : เวลาเราไปทัวร์ต่างจังหวัดกลุ่มแฟนคลับของเราส่วนมากเป็นกลุ่มครอบครัว พ่อ แม่ ลูกเลยจะมาเยอะ วัยรุ่นนี่ก็มีนะคะก็จะมากรี๊ดๆ พี่อี๊ด
ลูลู่ : ลูลู่คิดว่าศิลปวัฒนธรรมไทยสามารถดูได้ทุกกลุ่ม คือเด็กตัวเล็กๆ อาจจะชอบลูลู่ลาล่า ชอบดอกไม้ ชอบร้องเพลง แต่ว่ากลุ่มวัยรุ่นเค้าอาจจะมาดูว่าพวกนักดนตรี เล่นดนตรี ผู้หญิงอาจจะเป็นพวกการแสดง แต่อีกกลุ่มหนึ่งพวกผู้ใหญ่เค้าชอบ เค้าดูแล้วชื่นชอบว่าเด็กกลุ่มนี้มีความสามารถด้วยและก็รักษาศิลปวัฒนธรรมได้นะอะไรแบบนี้
ลาล่า : แต่ลาล่าคิดว่าเค้ามาดูหมายถึงว่าความแปลกใหม่และอาจจะสอนลูกคือพอดูแล้ว เอ๊ะ ตัวนี้เป็นใคร ตัวนี้เป็นใคร อยากดูลาล่าลูลู่ คือบางทีเราเล่นมุขเค้าก็จะมีการสอนสอดแทรก ลูกก็จะถามว่าไอ้ตัวนี้เค้าเรียกว่าอะไร ดนตรีเครื่องนี้เค้าเรียกว่าอะไร คุณพ่อคุณแม่เค้าก็จะอธิบายให้ลูกๆ ฟัง จากที่ลูกอยากไปดู พ่อแม่ก็ต้องตามไปด้วยต้องคอยอธิบายมันก็เลยกลายเป็นกลุ่มครอบครัวที่แบบพอดูไปแล้วก็เฮฮา แม้กระทั่งนั่งดูซีดีเค้าก็ต้องนั่งดูเป็นครอบครัว เหมือนดูเราก็เป็นการเรียนการสอนไปด้วยค่ะ
ลูลู่ : ใช่ค่ะ คือมีอะไรสอดแทรกตลอดเวลา เราไม่ได้เล่นเพลงตลอดมีพูดคุยด้วย พี่อี๊ดก็จะให้ความรู้ด้วย ก็จะมีแนะนำพวกโปงลาง
ลาล่า :มีการแนะนำเครื่องดนตรีคือบางคนเค้าก็อยากจะรู้ว่ามีเครื่องดนตรีอะไรบ้าง บางกลุ่มเค้าอาจจะอยากมาดูแค่ว่าอี๊ด ลาล่า ลูลู่ ว่าเล่นยังไงสนุกไหม แต่สิ่งที่เค้าได้รับกลับไปคือ ในช่วงที่พี่อี๊ดทอล์กจะแนะนำว่าอันนี้พิณนะ อันนี้คือโปงลางนะ มันเล่นแบบนี้นะ คือ เค้าอาจจะได้รับความรู้กลับไปแบบไม่ได้ตั้งใจ
เสน่ห์ของศิลปะพื้นบ้านคืออะไร
ลาล่า : คิดว่าความอ่อนหวานค่ะ
ลูลู่ : มันเป็นเสน่ห์ที่คนฟังและคนดูรู้ได้เลยว่ามันเป็นแนวบ้านเราค่ะ
ลาล่า : ความดั้งเดิมและชุดที่ใส่ อย่างวัฒนธรรมภูไท ชุดของภูไทก็จะเป็นชุดสีน้ำเงิน มีความเป็นเอกลักษณ์ของมัน คือพอลองดูแล้วเหมือนเราเข้าไปอยู่ในสมัยนั้น เวลาทำชุดเราก็จะหาข้อมูลและก็จะมีชุดที่ทันสมัยเป็นช่วงของน้องอ๋อยที่ร้องเพลงสปาบ้านทุ่ง ช่วงเปิดหัวพี่อี๊ดเค้าก็เน้นความเป็นวัฒนธรรมความเป็นพื้นบ้านแท้ๆ คือพอเราไปต่างจังหวัด บางทีก็จะมีทำไมรำน้อยจัง ทำไมร้องน้อยจัง คือคนแก่เค้าก็อยากดูความเป็นพื้นบ้านจ๋าจริงๆ แบบนี้ค่ะ เราก็นำมาพัฒนาก็จะมีช่วงเปิดหัวที่เป็นแบบพื้นบ้านจริงๆ แล้วก็มีช่วงกลางๆ แบบนี้ค่ะ เพราะว่าแฟนคลับของเราบางทีก็จะมีแบบอยากแดนซ์ เต้น เราก็มีจัดให้คือช่วงเปิดหัว ช่วงกลาง ช่วงท้าย ก็คือความมีเสน่ห์ของมัน พอดูแล้วมันมีความรู้สึกว่าอิ่ม ตัวลาล่าเองนะลาล่ามีความรู้สึกว่ามันเด่นเพราะว่ามันมีความอ่อนหวาน สวยงาม ตัวดนตรีเองก็มีความรู้สึกว่ามีเสน่ห์ของเค้า
แนะนำน้องๆ ที่มีความสนใจด้านนาฏศิลป์หรือดนตรีพื้นบ้าน
ลาล่า : อย่างกรุงเทพ ก็มีเปิดที่วิทยาลัยนาฏศิลป์กรุงเทพและก็ที่ศาลายา และเสาร์อาทิตย์ก็มีเปิดที่ศูนย์วัฒนธรรม และตามต่างจังหวัดนะคะก็คือวิทยาลัยนาฏศิลป์อยู่ 12 จังหวัดนะคะ ก็คือภาคอีสานก็จะมี นครราชสีมา กาฬสินธุ์แล้วก็ร้อยเอ็ดค่ะ และก็ภาคกลางก็จะมีกรุงเทพ อ่างทอง ลพบุรี สุพรรณบุรี ภาคตะวันออกก็มีจันทบุรี ภาคใต้ก็จะมีพัทลุง นครศรีธรรมราช ประมาณนี้ก็ลองศึกษาดูค่ะ ก่อนที่น้องจะเข้ามาเรียนถามตัวเองดูก่อนว่า ตัวเองรักไหม รักอะไร ถนัดด้านไหนมากที่สุด อย่างสมมติเข้ามาเรียนนาฏศิลป์ไม่ใช่แค่เข้ามาเรียนรำอย่างเดียวนะ เค้าก็จะแบ่งออกเป็นหลายสาขา อย่างพี่อี๊ดเค้าก็จะเป็นดนตรี เค้าก็จะมีให้เลือกดนตรีไทย ดนตรีสากล และก็ขับร้อง ทางด้านนาฏศิลป์ก็จะมีรำเค้าก็จะแบ่งเป็นตัวพระ ตัวนางและก็โขน และตอนนี้ก็จะเปิดเป็นเอกนาฏศิลป์พื้นบ้าน ก็คือให้ร้องหมอลำและรำหมอลำ ไม่ใช่แค่รำไทยอย่างเดียว ทีนี้ก็จะมีเป็นศาสตร์ของหมอลำทางด้านพื้นบ้านจริงๆ ก็คือถ้าถนัดด้านนี้ ชอบจริงๆ ลาล่าว่าทุกคนต้องรุ่งแน่ๆ ถ้าใจรักจริงๆ แต่ถ้าถามใจตัวเองว่ายังไม่โอเคเค้าให้มีเรียนแค่สามปีก็ได้นะ ก็คือม.1-ม.3 ถ้าไม่โอเคเราสามารถไปต่อทางด้านสายสามัญก็ได้ค่ะคือเหมือนเป็นการลองใจตัวเองไปก่อน แต่อย่างลาล่าลูลู่ก็คือรักจริง
ลูลู่ : ลูลู่คิดว่ารักสิ่งไหนชอบสิ่งไหน ถ้าตั้งใจทำก็จะสำเร็จเองค่ะ
เรียนนาฏศิลป์สามารถประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง
ลาล่า : หลักๆ นะคะคือเป็นคุณครู แต่ก่อนเป็นคุณครูเยอะนะ แต่ ณ ทุกวันนี้ไม่ใช่คุณครูแล้วนะ เป็นประชาสัมพันธ์ก็มี ทำงานการท่องเที่ยวเกี่ยวกับด้านศิลปวัฒนธรรมก็มี และทำเป็นอาชีพประจำที่ต่างประเทศ คือรำตามร้านอาหารรวมๆ ไม่ใช่น้อยเลยนะ และก็มีสอนเด็กสมัยนี้อยากจะเรียนเยอะค่ะ เค้าก็จะมีการจ้างเราไปสอนนอกเวลาอย่างนี้
ลูลู่ : เปิดธุรกิจส่วนตัวก็ได้ แต่งหน้าทำผม
ลาล่า : คืออย่างลูลู่ทำเครื่องรำอย่างนี้เป็นทุกอย่าง อย่างสมมติเค้ามีเปิดงานใหญ่ ก็ทำเป็นรับจ็อบคือหลากหลายอาชีพมากๆ เลยนะคะ คือก็สามารถเลือกที่จะทำได้ แต่ส่วนมากคือเป็นครูไปด้วยก็จะมีเด็กๆ เค้าก็จะเปิดเป็นบ้านเครื่อง ลาล่าว่าอันนี้เวิร์กมากๆ เลยค่ะ
ลูลู่ : ไม่ได้เปิดสอนแค่จันทร์-ศุกร์นะคะ เปิดสอนพิเศษเสาร์อาทิตย์ด้วยก็ได้
วางแผนในอนาคตไว้อย่างไร
ลูลู่ : ก็จะสอนเด็กๆ ต่อไป ลูลู่อยากมีร้านเล็กๆ แต่งหน้า เช่าชุด ทำเป็นบ้านเครื่องค่ะ
ลาล่า : ขอพูดถึงพี่ชายเราก่อน พี่อี๊ดถ้าไม่มีเค้าก็ไม่มีเรา ถ้าพูดถึงในอนาคตัวพี่อี๊ดเคาวางแผนให้พวกเราด้วย
ลูลู่ : ทำเป็นเหมือนโปงลางเซ็นเตอร์ มีสอนมีจำหน่ายพวกผลิตภัณฑ์พวกเครื่องดนตรี เป็นแบรนด์ของเรา
ลาล่า : พออายุมากขึ้นแล้วเค้าจะให้เราเกษียณไปสอนเด็กๆ คุณครูลูลู่ คุณครูลาล่า เปิดคลาสเรียนและพวกน้องๆนางรำพออายุเยอะขึ้นก็จะไปอยู่ในแผนกเสื้อผ้า แผนกจัดการแสดงก็จะทำเป็นฝ่ายเป็นแผนกๆ ทุกคนมีหน้าที่เป็นของตัวเอง ทุกคนก็จะมีเงินเดือน และก็จะมีโปงลางตัวเล็กๆ มาเป็นรุ่นๆ เด็ก อันนี้คือในส่วนที่พี่อี๊ดพูดให้ฟังไว้ แต่สำหรับลาล่าซึ่งในอนาคตลาล่าชอบแดนซ์อ่ะลูลู่ ลาล่าชอบอยู่กับแสงสีเสียง ลาล่าอยากมีการแสดงมีโชว์ใหญ่ๆ คือคุมการแสดงเป็นของตัวเองค่ะ
ความภูมิใจใน “โปงลาง”
ลาล่า: คำว่า “โปงลางสะออนคือศิลปะพื้นบ้าน” เป็นสุดยอดของความภูมิใจตั้งแต่ลาล่าเลือกทำวิทยานิพนธ์อีสาน ตอนนั้นพี่อี๊ดไปช่วยทำดนตรีให้ เท๊เท่ พอเสียงดนตรีอีสานของลาล่าขึ้น ทุกคนกรี๊ด ลาล่ารู้สึก โห คะแนนเต็มร้อยอ่ะ มันตื้นตัน ดนตรีของเรากระหึ่มมาก แต่ก่อนมาอยู่กรุงเทพฯ กล้าพูดอีสานไหม (ลูลู่: ไม่กล้าค่ะ) อายใช่ไหม (ลูลู่: อายมากค่ะ) แต่ทุกวันนี้ คำว่า อีสาน คำว่า นาฏศิลป์ คำว่า พื้นบ้านของเรา ไม่มีคำว่าอายเลยค่ะ และภูมิใจที่สุดคือจากแต่ก่อนเด็กๆ อยากหันไปเล่นกีต้าร์นั่นนี่ แต่ทุกวันนี้ทุกโรงเรียนจะมีวงโปงลาง และได้นำวัฒนธรรมนี้ไปเผยแพร่ไม่ใช่แค่ในประเทศนะ ต่างประเทศ ทุกครั้งที่เราไปต่างประเทศก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้
ลูลู่: วงโปงลางเราไปถึงขนาดนั้น โกอินเตอร์ได้แล้ว สามารถทำให้ฝรั่งดูได้คือดูแล้วทำให้คนที่อยู่ต่างประเทศหรือคนไทยที่อยู่นั่นคิดถึงบ้านได้เลยค่ะ
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี แบ่งออกได้ 3 ภาควิชา คือ ภาควิชาทัศนศิลป์ เน้นงานศิลปกรรมทางด้านวิจิตรศิลป์ ภาควิชาศิลปะการออกแบบและเทคโนโลยี เน้นงานทางด้านการออกแบบ และภาควิชานาฏดุริยางคศิลป์ เน้นเทคนิคการปฏิบัติวิชาชีพในแต่ละสาขาวิชา มี 2 หลักสูตรคือศิลปบัณฑิต ใช้เวลา 4 ปี มีสาขาวิชาดนตรีสากล และหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต ใช้เวลา 5 ปี ผู้สำเร็จการศึกษาจะได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูในสาขาวิชา ดังนี้สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย สาขาวิชานาฏศิลป์สากล สาขาวิชาดุริยางค์ไทย สาขาวิชาดุริยางค์สากล สาขาวิชาคีตศิลป์ไทย และสาขาวิชาคุตศิลป์สากล คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แบ่งวิชาเอกได้เป็น 7 วิชา คือ วิชาเอกการออกแบบทัศนศิลป์ วิชาเอกทัศนศิลป์ วิชาเอกดุริยางคศาสตร์สากล วิชาเอกมานุษยดุริยางควิทยา วิชาเอกทัศนศิลป์:ศิลปะสมัยใหม่ วิชาเอกนวัตกรรมการออกแบบ และวิชาเอกศิลปะการแสดง ประกอบไปด้วย สาขาวิชานาฏศิลป์ สาขานาฏศิลป์สากล สาขาวิชาการแสดงและการกำกับการแสดง และสาขาวิชาการออกแบบเพื่อการแสดง |