งานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ปีนี้ก็เป็นปีที่ 73 แล้ว ซึ่งการอัญเชิญพระเกี้ยวในปีนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับชาวจุฬาฯอย่างมาก เนื่องจากผู้อัญเชิญพระเกี้ยวฝ่ายหญิงเป็นบุคคลทุพพลภาพนั่นเองค่ะ แต่ความสามารถของ “พี่วัน” ปาณิสรา อารยะถาวร นิสิตคณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 เรียกได้ว่าต้องยอมรับเลยทีเดียว
ส่วนผู้อัญเชิญพระเกี้ยวฝ่ายชาย “พี่เต้ย” นายรณฤทธิ์ อริยะพัฒนพาณิชย์ นิสิตคณะนิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 ก็มากความสามารถไม่แพ้กัน ในบทความนี้เราไปทำความรู้จักกับพวกเขาทั้งคู่เลยดีกว่าค่ะ
พี่เต้ยและพี่วัน ได้เล่าให้ฟังว่า ภายในงานฟุตบอลประเพณีฯ จะประกอบด้วยสี่หน้าที่นั่นก็คือ ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว ผู้อัญเชิญถ้วยพระราชทาน ผู้อัญเชิญป้ายนามมหาวิทยาลัย และผู้ถือพานพุ่ม นอกจากงานบอลแล้วกลุ่มผู้อัญเชิญฯ หรือ CU Coronet ยังมีการทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย และเข้าร่วมงานพิธีการต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยอีกด้วย
ทั้งพี่เต้ยและพี่วันได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และตั้งใจว่าจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด พี่วันยังบอกอีกว่าจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะได้ตำแหน่งอะไรก็เป็นหน้าที่ที่ประทับใจทั้งหมด การได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Cu Coronet ก็ถือว่าเป็นความทรงจำที่ดีมาก ๆ แล้ว พี่วันเชื่อว่าสมาชิกทุกคนใน CU Coronet ก็คิดแบบนี้เช่นเดียวกัน
พี่เต้ยยังได้เสริมอีกว่า คนที่ได้คัดเลือกเข้ามาภายใน CU Coronet แล้วเชื่อว่าทุกคนสามารถเป็นผู้อัญเชิญพระเกี้ยวได้ทุกคน และไม่ว่าตำแหน่งไหนพี่เต้ยก็มั่นใจว่าทุกคนดีใจกับหน้าที่ที่ตนเองได้รับและตั้งใจที่จำให้มันออกมาดีที่สุดในงานบอลประเพณีฯ อย่างไรก็ตามงานฟุตบอลประเพณีฯเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของหน้าที่เท่านั้น และจะจบในวันเดียว แต่สิ่งที่จะอยู่กับ CU Coronet จริง ๆ คือ การบำเพ็ญประโยชน์และการทำงานเพื่อสังคมมากกว่า
สำหรับพี่เต้ยแล้วเพียงแค่เราเป็นนิสิตจุฬาฯ เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดและแสดงสิ่งที่เราเป็นออกมาอย่างเหมาะสม ก็สามารถที่จะมีโอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ CU Coronet ได้แล้ว
พี่วันได้แนะนำเพิ่มเติมว่าสำหรับน้อง ๆ ที่จะมาเข้าคัดเลือกสิ่งที่เราควรมีคือ ไหวพริบและสติในทุกรอบของการคัดเลือก อีกทั้งยังเน้นเรื่องของบุคลิกภาพ ความมั่นใจ และการพูดในที่สาธารณะอีกด้วยค่ะ
นอกจากเป็นส่วนหนึ่งของ CU Coronet แล้ว กิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำในมหาวิทยาลัยของพี่เต้ยและพี่วันยังมีอีกมากมาย เช่น การเป็นพิธีกรแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ Mc of Chula รุ่นที่ 3 และยังได้รับคัดเลือกเข้าร่วมทีมโต้วาทีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและได้รับรางวัลชนะเลิศ ระดับประเทศ การแข่งขันโต้วาทีอุดมศึกษา ชิงโล่พระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ครั้งที่ 23
มือของพี่วันมีความทุพพลภาพตั้งแต่เกิด หรือเรียกได้ว่า “มือขวาผิดปกติตั้งแต่กำเนิด” โดยตัวพี่วันเองเรียกมือที่ผิดปกติว่ามือน้อย พี่วันได้เล่าให้ฟังว่าตอนแรกไม่ได้เจาะจงที่จะเข้ามาเป็นผู้อัญเชิญพระเกี้ยว เพียงแต่อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้อัญเชิญพระเกี้ยวแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะเป็นกิจกรรมที่ตอบโจทย์ ได้เป็นทั้งผู้ให้นั่นก็คือการได้ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ และได้เป็นผู้รับนั่นก็คือการพัฒนาตนเองนั่นเองค่ะ
หลาย ๆ คนอาจตั้งคำถามว่าความทุพพลภาพของพี่วันเป็นอุปสรรคในการรับตำแหน่งหรือไม่ จริง ๆ แล้วพี่วันยืนยันว่าไม่เลย เพราะการมาเป็นกลุ่มผู้อัญเชิญฯ เพียงแค่เป็นนิสิตก็เป็นได้แล้ว ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถเป็นได้เลย ส่วนกิจกรรมไหนลำบากหน่อย อย่างเช่นกิจกรรมที่ต้องใช้ทั้งสองมือ เราก็ต้องใช้การฝึกฝน แต่อย่างไรก็ตามเราก็มีพี่ ๆ เพื่อน ๆ คอยช่วยเหลือเราเสมอ ทำให้เราสามารถผ่านมาได้
พี่วันฝากถึง ผู้ทุพพลภาพที่อาจจะยังไม่มีความมั่นใจในตัวเอง อยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเองก่อน อย่าให้ข้อบกพร่องเล็ก ๆ เป็นขีดจำกัดในชีวิต อยากให้ทำตามหัวใจตนเอง อะไรที่ทำไม่ได้ก็ยอมรับมันไปและก้าวผ่านมันไป บางครั้งเราอาจจะกลัวหรือไม่กล้า แต่ขอให้เราอย่าหยุดที่จะพัฒนา เพราะเราสมบูรณ์แบบในแบบของเรานั่นเองค่ะ
พี่เต้ยได้ฝากถึงน้อง ๆ ที่อยากเข้ามาคัดเลือก ทุกคนสามารถที่จะเป็นผู้อัญเชิญพระเกี้ยวได้พยายามให้โอกาสตัวเอง แสดงความเป็นตัวเองในรูปแบบที่เหมาะสมให้กับกรรมการ เพราะการคัดเลือกไม่มีเกณฑ์เรื่องรูปร่างหน้าตา เพียงแค่เราเป็นตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเข้าคัดเลือกค่ะ
เรื่อง : พิชญา วัชโรดมประเสริฐ