เรื่อง: ศรินทร เอี่ยมแฟง ภาพ: กัลยาณี แนวเล็ก
เราเชื่อว่างานอาสาสมัครต้องเกิดจากความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะคนส่วนน้อยที่เสียสละทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง ในลักษณะของการป้องกันและสนับสนุน เพราะคนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นผลอย่างเป็นที่ประจักษ์จนกว่ามันจะเกิดขึ้น สิ่งที่ Design for Disasters เครือข่ายความคิดสร้างสรรค์เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและจัดการกับภัยพิบัติ ทำก็เช่นกัน กลุ่มนักออกแบบใช้ความถนัดทางวิชาชีพ สร้างความตระหนักและเตรียมพร้อมด้านภัยพิบัติในประเทศไทยแบบระยะยาว ตลอดจนช่วยเหลือฟืนฟูผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติที่นับวันจะรุนแรงยิ่งขึ้น เบื้องหลังของภารกิจยิ่งใหญ่ไม่ใช่ประธาธิบดีของชาติมหาอำนาจ แต่เป็นผู้หญิงร่างเล็กหนึ่งคน วิภาวี คุณาวิชยานนท์ สถาปนิกที่ทำงานด้วยความเชื่อและความฝันอันเป็นแรงจูงใจชั้นยอด
คุณวีมีความชอบด้านสถาปัตยกรรมตั้งแต่เมื่อไหร่
ชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็กเลย สังเกตว่าทุกครั้งที่ทำงานศิลปะจะมีความสุขมาก วันไหนมีวิชาศิลปะจะตื่นเต้นตั้งแต่ตอนกลางคืน จัดเตรียมกระเป๋าอย่างดีเลย วีอยากเป็นสถาปนิกตั้งแต่ ป.1 เราเห็นร้านก่อสร้างทำโมเดลบ้านหลังเล็กๆ โชว์อยู่ที่กระจกหน้าร้าน เราก็ชอบมาก อยากสร้างบ้านหลังเล็กตั้งแต่เด็ก ซื้อกระดาษมาพยายามต่อโมเดลเอง ประกอบกับลูกพี่ลูกน้องเรียนทางด้านสถาปัตย์ แต่ด้วยความที่แต่ก่อนมีสอบเทียบตั้งแต่ ม.4 เลยลองไปเอนทรานซ์ เลือกสถาปัตย์หมดแล้วเลือกครุศาสตร์เป็นอันดับสุดท้าย ท้ายที่สุดก็ติดครุศาสตร์ จุฬาฯ ตอนแรกเสียใจมากเหมือนอกหัก แต่ 4 ปีผ่านไปเราได้อะไรเยอะมากเกี่ยวกับการแบ่งปันความรู้ พอเรียนจบเลยไปเรียนต่อด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมภายใน แล้วก็ต่อสถาปัตยกรรม เริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรให้ความรู้ของเราเกิดประโยชน์ต่อสังคม เลยมองว่าชุมชนแออัดต้องการบ้านที่สมเหตุสมผล อยู่แล้วสบาย เลยสนใจจุดนั้นก่อน
เพราะอะไรถึงหันมาสนใจเรื่องภัยพิบัติ พื้นเพเป็นคนที่ไหน
วีเป็นคนกรุงเทพฯ เกิดแถวเยาวราช บ้านอยู่กลางเมืองมากๆ อาคารตึกสูงเยอะแยะ รถติด แล้วก็เห็นสภาวะความเปลี่ยนแปลงของเมืองค่อนข้างมาก ระหว่างที่เพิ่งเรียนจบมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เสฉวน และพายุนาร์กิสที่พม่า คนเสียชีวิตเยอะและไม่มีที่อยู่อาศัย บวกกับความฝันด้วย มันเริ่มจากหลังเกิดสึนามิปี 2547 สักพัก เราชอบฝันเห็นคลื่นยักษ์หรือน้ำท่วมครั้งใหญ่บ่อยมาก เฉลี่ย 40-50 ครั้งในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมา บางครั้งเราตายในภัยพิบัติในความฝันด้วย บางครั้งถามตัวเองด้วยว่านี่เราฝันหรือเรื่องจริง เพราะในฝันจำได้ว่าเราฝันบ่อย ลองหยิกตัวเองในฝันแล้วก็ไม่เจ็บ ความฝันพวกนี้ทำให้เรากลัวจนไม่อยู่แล้วประเทศไทย ไม่อยู่แล้วกรุงเทพฯ เลยไปเมืองจีนบ้านเกิดอากง อากงอยู่บนภูเขาที่ซัวเถา พอขึ้นไปบนภูเขาเราก็จินตนาการว่า 50 ปีที่แล้วอากงค่อยๆ ลงจากเขา นั่งเรือเสื่อผืนหมอนใบมาเมืองไทย สร้างเนื้อสร้างตัว แล้วเราจะกลัวอะไร เราก็เผชิญความกลัวสิ ความกลัวกลายเป็นแรงผลักดันให้เรารู้สึกว่าจะต้องเอาความรู้ออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์
นอกจากความฝัน อะไรทำให้มั่นใจว่าบ้านเรามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภัยพิบัติ
ทุกคนคงรู้ว่าสิ่งแวดล้อมเลวร้ายลงทุกวัน มันเป็นธรรมชาติที่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นดับไปเป็นวัฏจักร การอนุรักษ์ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดี ปลูกป่่าต้องใช้เวลากว่าต้นไม้จะโต ถ้าหลายคนมาช่วยกันปลูกทุกวันย่อมได้ผลดีแน่ๆ แต่ทุกคนก็ทำตามแต่ที่ตัวเองถนัด เราเห็นบทความหรืองานวิจัยที่ว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เสี่ยงต่อการจมน้ำถาวรหรือแผ่นดินไหวรุนแรง ส่วนตัวมีพื้นฐานด้านการออกแบบและการใช้ความคิดสร้างสรรค์ เลยอยากให้ความรู้ของเราสอดคล้องกับการรับมือหรือตั้งรับกับสภาพแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือภัยพิบัติ
เราคนเดียวจะทำอย่างไรให้คนตระหนักในเรื่องนี้
ตอนนั้นเป็นอาจารย์พิเศษสอนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่ธรรมศาสตร์ ม.รังสิต และอีกหลายมหาวิทยาลัย และไปเรียนเพิ่มด้าน Disaster Management ที่ AIT พอต้องทำวิทยานิพนธ์ก็อยากทำหัวข้อเกี่ยวกับน้ำท่วมกรุงเทพฯ ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนว่าหัวข้อมันใหญ่เกินกว่าที่เราคนเดียวจะทำได้ และไม่อยากใช้เวลาส่วนใหญ่หาข้อมูลแล้วเขียนอะไรของตัวเอง คิดว่าตัวเองถนัดด้านการสร้างเครือข่ายมากกว่า เลยมาชวนเพื่อนๆ ให้ช่วยกันเริ่มทำ Design for Disasters เต็มตัวค่ะ
Design for Disasters เป็นเครือข่ายความคิดสร้างสรรค์เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและจัดการกับภัยพิบัติ คำว่า Design คือความคิดสร้างสรรค์ เชื่อว่าทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักออกแบบก็ได้ อย่างเช่น คนกวาดถนนอาจจะเป็นคนกวาดถนนที่สร้างสรรค์ที่สุดก็ได้ กวาดได้รวดเร็ว สะอาด และท่าทางสวยงามมาก ก็เลยคิดว่าความคิดสร้างสรรค์มีอยู่ในตัวทุกคน หลายๆ สาขา แต่ถ้ามองในแง่ของการออกแบบ ก็มีทั้งสถาปัตยกรรม ผลิตภัณฑ์ กราฟิก ซึ่งสามารถทำหน้าที่สร้างความตระหนักและหาทางรับมือได้ค่ะ
Disaster Management ทำไมต้องบริหารจัดการกับภัยพิบัติ
เพราะเวลาภัยพิบัติเกิดมันจะสับสนอลหม่าน ต้องมีระบบจัดการทั้งภาคข้อมูล GIS (ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์) วิทยาศาสตร์ หรือการจัดการกับชุมชน จริงๆ แล้วภัยพิบัติมีทั้งภัยที่เกิดจากธรรมชาติเอง และภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ถ้าภัยธรรมชาติก็จะแบ่งเป็นธรณีวิทยา อากาศ หรือการระบาดของโรค ถ้าเกี่ยวกับทางธรณีวิทยาจะเกี่ยวกับแผ่นดินไหว ดินโคลนถล่ม ภูเขาไฟระเบิด แต่ถ้าเกี่ยวกับอากาศก็คือพายุรุนแรง อากาศแห้งแล้ง ร้อนจัด หนาวจัด อย่างภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ก็จะเป็น สงคราม ความขัดแย้ง การใช้สารเคมี ระเบิด เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดสิ่งเหล่านี้ มันจะกระทบกับวิถีชีวิต ทำให้เราไม่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติ
น้ำท่วมประเทศไทยในปี พ.ศ. 2555 จินตนาการของคุณวีไปขนาดไหน
ไม่แปลกใจ เพราะไม่ต้องรอน้ำท่วมเราก็เห็นภาพที่เลวร้ายอยู่แล้ว คิดว่ามันอาจจะเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย หรือการแจ้งเตือน แต่มันมีทั้งข้อดีข้อเสีย ที่แน่ๆ หลายคนเดือดร้อน แต่ข้อดีคือคนเริ่มตระหนักและเตรียมรับมือ
คิดทันทีไหมว่าได้เวลาของ Design for Disasters แล้ว
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเราจัดนิทรรศการ “เมืองจมน้ำ” ที่หอศิลป์กรุงเทพฯ ทุกวันเสาร์จัดกิจกรรมเสวนาที่เชิญนักออกแบบ ผู้ประสบภัยมาแลกเปลี่ยนความคิดกัน มีการแชร์ข้อมูลหรือไอเดียสิ่งที่เขาประดิษฐ์ เพราะเวลาปกติเราคิดว่าภัยพิบัติไม่น่าจะเกิดขึ้นหรือเป็นเรื่องไกลตัว มันยากที่เราจะซื้ออะไรมาเตรียมไว้ เพราะฉะนั้นเวลาฉุกเฉินเราจะช่วยเหลือตัวเองอย่างไรโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์ของเรา ก็คือการประยุกต์สิ่งของรอบตัวมาดัดแปลงเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตฉุกเฉิน แต่ถ้าถามว่าลงพื้นที่ไปช่วยไหม ต้องบอกว่าเพิ่งเริ่มต้นและเรามีกันแค่ไม่กี่คน ทุกคนเป็นอาสาสมัครที่โดนผลกระทบเหมือนกัน
เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เชียงราย ปรากฏชื่อ Design for Disasters อีกครั้ง มีส่วนร่วมอย่างไร
จุดเริ่มต้นเราคิดว่าอยากสร้างอาคารเรียน ได้ปรึกษากับสมาคมสถาปนิกสยาม โดยปกติสมาคมฯ มีความร่วมมือกับอีกสามสมาคมอยู่แล้ว ก็เลยเป็นการร่วมมือกันทำ “โครงการพอดี พอดี” เป็นการสร้างอาคารเรียนเร่งด่วน 9 หลังสำหรับ 9 โรงเรียนในพื้นที่ประสบภัย และสร้างบ้าน 9 หลังให้กับครอบครัวที่เดือดร้อน การทำโครงการนี้ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนอย่างดีจาก 4 สมาคมคือ สมาคมสถาปนิกสยาม สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย สมาคมเหล่านี้ให้การสนับสนุนในเรื่องขั้นตอนการก่อสร้าง โครงสร้าง และการระดมทุนด้วย
โครงการนี้เริ่มจาก “บ้านพอดี พอดี” ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิก คุณสุริยะ อัมพันศิริรัตน์ ทำร่วมกับเพื่อนๆ ในช่วงน้ำท่วม เป็นบ้านขนาดเล็ก โครงสร้างเหล็ก ผนังซีเมนต์บอร์ด หลังคาลอนคู่ ใช้งบประมาณประหยัด เสียเศษน้อย ทำลายทรัพยากรธรรมชาติน้อยที่สุด สร้างก็ไว เราหยิบมาเป็นต้นแบบบ้านสำหรับแผ่นดินไหว และทางวิศวกรรมสถานฯ ส่งทีมวิศวกรมาช่วยดูแลเรื่องโครงสร้างให้รับมือกับแผ่นดินไหว แนวความคิดนี้ใช้ประยุกต์ในการออกแบบอาคารเรียน 9 หลังออกแบบโดย 9 สถาปนิกอาสาด้วย ตอนนี้อยู่ในช่วงจัดวางระบบให้เหมาะสม การเอาไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวคงไม่เหมาะสม เรากำลังคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรถึงจะเข้าถึงประชาชนจริงๆ
เวลาบ้านเมืองเหมือนจะเป็นปกติ Design for Disasters ทำอะไร
งานหลักๆ คือการพัฒนาชุดความรู้ “รู้แล้วรอด” ซึ่งเป็นชุดการเรียนการสอนที่ควบคู่ไปกับความสนุกสนานสำหรับเยาวชน เช่น เกมกระดาน เกมการ์ด เกมต่อจิ๊กซอว์ เราได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ องค์การอนามัยโลก สสส. และอีกหลากหลายหน่วยงาน มาช่วยกันพัฒนาโครงการนำร่อง อยากให้ปลูกฝังไปยังเด็กๆ อนาคตของประเทศ เขาพร้อมเปิดใจกว้างในการรับรู้ เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในการจัดกิจกรรม เช่น จับกลุ่มทำแผนที่ชุมชน จินตนาการว่าบ้านเราตั้งอยู่ที่ไหน วาดภูเขา แหล่งน้ำ บ่อน้ำ ใกล้ทะเลไหม แล้วเราก็จะบอกว่า ตอนนี้สึนามิเข้าแล้วนะ ใครบ้านอยู่ตรงไหน จะอพยพไปไหน แล้วค่อยอธิบายสอดแทรกระหว่างทำกิจกรรม
วางแผนอนาคตไว้อย่างไร
ทีมงานหลักๆ คงไม่ได้มีจำนวนคนเยอะ เพราะเรามีงบจำกัด แต่การสร้างเครือข่ายที่ขยายใหญ่ต่อไปเรื่อยๆ ค่อนข้างสำคัญ มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะทำคือเครือข่ายในอาเซียน อย่างชุดความรู้ “รู้แล้วรอด” ซึ่งมีแผ่นพับความรู้ต่างๆ เช่น คู่มือกระเป๋ายังชีพ เราก็อยากแปลเป็นหลายภาษาเอาไปแบ่งปันประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เขาเห็นน้ำใจกัน แล้วถึงจุดที่เราหรือเขาเจอภัยพิบัติ เราอาจสามารถช่วยเหลือกันและกันทางด้านมนุษยธรรม
งานที่ทำคล้ายกับการรับมือ คิดว่าสิ่งแวดล้อมเกินเยียวยาแล้วหรือไม่
ค่ะ มันคงเป็นไปในทิศทางที่ไม่ดีขึ้น คงจะมีแต่แย่ลงเรื่อยๆ เพราะคนมากขึ้นด้วย มีการแย่งทรัพยากรจนเกิดเป็นปัญหาหลายอย่าง
คุณวีไม่ใช่ประธานาธิบดี ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี ทั้งหมดนี้ทำไปเพื่ออะไร เคยคิดบ้างไหมว่าถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นรุนแรงอย่างในความฝันล่ะ
ถ้าไม่เกิดก็ดีสิคะ คือมันดูขัดแย้งในตัวเองนะ ไม่มีใครอยากให้เกิดภัยพิบัติหรอก ระหว่างทำเคยคิดนะว่าอยากทำแผนอพยพให้กรุงเทพฯ คิดใหญ่เลยนะอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอถึงจุดหนึ่งก็คิดว่า เฮ้ย แต่ถ้าไม่เกิดก็ยิ่งดีสิ เอ๊ะ แล้วเราทำไปทำไมเนี่ย อาจจะเป็นเพราะดูหนังมากไป (หัวเราะ) แค่รู้สึกว่าทุกคนช่วยกันได้ เชื่อว่าทุกคนทุกหน่วยงานคงพยายามทำอะไรที่ตัวเองสามารถทำได้อย่างเต็มที่ เราถนัดด้านไหนมาช่วยกันเติมเต็ม ทำให้มันดีขึ้นโดยไม่ต้องรอว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้แล้วเราไม่ทำ เพราะบางครั้งเราอาจจะเรียนรู้จากกันและกันแล้วแลกเปลี่ยนกันได้
สิ่งที่เราเริ่มทำได้ตั้งแต่ตอนนี้เพื่อรับมือกับภัยพิบัติคืออะไร
ต้องมีสติก่อนเลย เพราะภัยพิบัติเป็นเรื่องฉุกเฉิน กะทันหัน รุนแรง รวดเร็ว ช่วงที่เพิ่งเกิดใหม่ๆ คือช่วงวิกฤตมากๆ จากนั้นคงต้องปรับเปลี่ยนประยุกต์สิ่งที่มี หรือความรู้ที่มีมาทำให้เราและคนรอบข้างรอดชีวิตให้ได้ จริงๆ มันก็มีข้อมูลให้อ่านอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เรื่องภัยพิบัติไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่เกิดขึ้นประจำวัน เราอ่านไปก็จำไม่ได้ อย่างกิจกรรมซ้อมแผนอพยพบนอาคารสูง อพยพหนีไฟ ถ้ามีเป็นประจำก็พอช่วยได้ แต่ต้องใช้ความพยายามนิดหนึ่งให้คนเห็นความสำคัญ เพราะเราสบายมาตลอด เราแบบในน้ำมีปลาในนามีข้าว ทำให้เราเพิกเฉยกับอะไรหลายๆ อย่าง แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเราจะได้แบบนั้นเสมอไป
ถ้าอยู่กันไม่ได้จริงๆ นึกถึงเรื่องการอพยพไปนอกโลกบ้างไหม
ทุกอย่างเป็นไปได้หมด เพราะเมืองในปัจจุบันที่มีเครื่องบิน มีรถไฟ มันก็คือจินตนาการของคนเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา แต่อยากจะพูดว่า เราคงต้องอยู่กับสิ่งปัจจุบันแล้วมองรอบตัวว่าเราจะทำอะไรให้ดีขึ้นได้บ้าง แทนที่จะคิดว่าต้องออกไปนอกโลก ลองมองเข้ามาในตัวเราแล้วทำความเข้าใจกับตัวเองมากกว่าว่าเราจะอยู่กับสิ่งรอบตัวได้อย่างไร
“เราถนัดด้านไหนมาช่วยกันเติมเต็ม ทำให้มันดีขึ้นโดยไม่ต้องรอว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้แล้วเราไม่ทำ เพราะบางครั้งเราอาจจะเรียนรู้จากกันและกันแล้วแลกเปลี่ยนกันได้”