“จุ๋ย จุ๋ยส์” อาจจะไม่ใช่ชื่อที่คนฟังดนตรีตามกระแสคุ้นเคย แต่ถ้าลองถามบรรดา “เด็กแนว” หรือคนฟังเพลงอินดี้ น้อยคนที่จะไม่รู้จักเขา เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่างานเพลงของ จุ๋ย จุ๋ยส์-สุทธิพงศ์ สุทินย์รัมย์ เป็นงานเพลงที่แปลกใหม่และเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้ไปเอาแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์มาจากไหนนะ
แต่ถ้าลองได้รู้ถึงสาขาวิชาที่เขาได้รำเรียนมาสมัยมหาวิทยาลัยก็ถึงบางอ้อ เพราะพี่ จุ๋ย จุ๋ยส์ เป็น ศิษย์เก่ารุ่น 16 ของคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะที่ขึ้นชื่อว่านักศึกษามีเอกลักษณ์และล้วนแต่มีความเป็น “ศิลปิน” เต็มตัว ที่เป็นอย่างนี้ พี่จุ๋ย จุ๋ยส์บอกว่าเป็นเพราะคณะวิจิตรศิลป์ มช. เปิดกว้างและเน้นให้นักศึกษาใช้จินตนาการ ทำให้เมื่อจบออกไป นักศึกษาสามารถประยุกต์ใช้จินตนาการกับงานได้อีกหลายรูปแบบ อย่างที่พี่จุ๋ยจุ๋ยส์นำสิ่งที่เรียนมาประยุกต์ใช้กับงานเพลงค่ะ
เราลองมาฟังพี่จุ๋ย จุ๋ยส์เล่าประสบการณ์ตอนเรียนอยู่ที่คณะวิจิตร์ศิลป์กันค่ะ คณะนี้เขาเรียนอะไรกัน และมีกิจกรรมสนุกๆอะไรกันบ้าง
เพราะอะไรถึงเลือกเรียนคณะวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เพราะว่าตอนสมัยเด็กๆ ชอบศิลปะอยู่แล้ว แล้วพอตอนก่อนจะมาเรียนคณะวิจิตรศิลป์ก็เรียนที่สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือในคณะศิลปกรรมครับ เหมือนกับเป็นการเรียนต่อเนื่อง ศิลปกรรมเนี่ยก็เรียน ปวช.1 ถึง 3 มันก็เทียบเท่ากับการเรียน ม.4 ถึงม.6 พอเรียนจบแล้วก็ต้องเอ็นทรานซ์ เอ็นทรานซ์ก็เลยมาเลือกที่คณะวิจิตรศิลป์ มช. ครับ
การสอบเข้าคณะวิจิตรศิลป์มีการทดสอบวิชาอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ เตรียมตัวสอบวิชาพิเศษอย่างไร
นอกจากจะสอบวิชาสามัญแล้ว วิจิตรศิลป์ก็จะมีการสอบพิเศษก็คือสอบ Drawing กับสอบ Composition ก็คือการเขียนองค์ประกอบในหัวข้อที่เค้าให้มาอย่างสมมุติปีของผม ก็จะมีโจทย์สั้นๆเป็นบทกวีมาให้ ก็คือต้องตีความหมายของบทกวีที่ให้มา แล้วก็ทำมาเป็นองค์ประกอบในการใช้สีก็ได้ ก็ไม่จำกัดเทคนิค ให้ออกมาเป็นในแนวที่กรรมการตัดสินได้ในกรอบที่เค้ากำหนดให้
อีกอย่างหนึ่งก็คือการสอบ Drawing จะแบ่งเป็น 2 อย่าง เป็น figure ก็คือคนเต็มตัวกับ portraits ก็คือคนครึ่งตัว เป็นการวาดด้วยดินสอ เป็นรูปขาวดำครับ
ก็มีการเตรียมตัวครับผมเตรียมตัวอยู่ 2 ปี ตั้งแต่ผมอยู่ ปวช.2 และก็ได้เข้ามาที่กรุงเทพฯ แล้วก็มารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ มีรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยศิลปากรก็มาช่วยติวให้ ตอนปวช.3 ก็ติวอีก 1 ปี เพราะมีการเตรียมตัวก่อนหน้านั้นมาแล้ว บวกกับทักษะที่เรามีอยู่ก็ทำให้ตอนสอบไม่ได้กดดันมาก เพราะได้เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
วิจิตรศิลป์เรียนอะไรบ้าง คณะนี้มีกี่สาขาวิชา
ผมเรียนคณะวิจิตรศิลป์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผมเรียนเอกจิตรกรรม ในคณะวิจิตรศิลป์เนี่ยจะมีอยู่ด้วยกัน 5 สาขาก็มีจิตรกรรม, ประติมากรรม, ภาพพิมพ์ สามเอกนี้จะเรียน 5 ปี นอกจากนั้นก็จะมีศิลปะไทยแล้วก็ออกแบบ อันนี้จะเรียน 4 ปีครับ
เอกจิตรกรรมเรียนอะไรบ้าง
หลักๆ ของเอกจิตรกรรมก็คือตามชื่อครับ เน้นไปทางการวาด ถ้าเกิดเป็นประติมากรรมก็จะเป็นไปทางการปั้น การแกะ การหล่อ หล่อพิมพ์ ถ้าเกิดเป็นภาพพิมพ์ก็จะเหมือนกับว่าใช้เครื่องปริ้นท์แบบแมนนวล เน้นวิธีการแกะไม้ ภาพพิมพ์แบบไหน แบบโมโนปริ้น แบบแกะไม้
จิตรกรรมก็จะมีทั้ง Drawing ก็ได้เรียน เรียนเรื่องของสี สีนี้ก็แล้วแต่ว่าจะใช้สีน้ำมัน สีอะคริลิค หรือว่าจะสีชอล์ก แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคนที่จะเอามาผสมกัน หลัก ๆแล้วจิตรกรรมนี่ก็คือการวาดรูปแล้วก็การเขียนสีนั่นเองครั
มีเรียนทฤษฏีบ้างหรือไม่
ทฤษฏีของวิชาอื่นๆ ทั่วไปก็มีครับก็อย่างมีเรียน Math 100 แล้วแต่เลือกเรียนด้วย อย่างของผมก็จะเรียนจิตวิทยาด้วย เรียนหลายอย่างครับ แล้วอีกอย่างก็ภาษาอังกฤษ ซึ่งหลังๆ ก็ได้เปลี่ยนหลักสูตรบังคับให้เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มอีก 2 ตัว เขาก็คงเล็งเห็นว่าเดี๋ยวนี้พอเรียนภาษาอังกฤษแค่สองตัว แล้วไม่เรียนกันต่อมันก็เหลวเป๋วขายงานไม่ได้ คุยกับฝรั่งไม่รู้เรื่อง ก็เลยมีให้เรียนต่อซึ่งเป็นผลดีครับ
ชอบวิชาอะไรเป็นพิเศษ
วิชาที่ผมชอบเป็นพิเศษผมชอบวิชา Composition ในตัวที่ผมชอบเนี่ยมันจะเป็นตัวในตอนประมาณปี3 ปี4 ปี5 แล้ว ช่วงนี้จะชอบที่สุดเพราะว่าเป็นช่วงที่เข้มข้นในการทำงานศิลปะมันไม่ได้ปิดกั้นว่าคุณจะต้องทำปั้นอย่างเดียว ไม่ได้ปิดกั้นว่าคุณจะต้องทำเพนท์อย่างเดียว ภาพพิมพ์อย่างเดียว คุณสามารถทำอะไรก็ได้คือหยิบจับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ศิลปะแต่เอามาเป็นศิลปะด้วยก็ได้ มันก็เลยเกิดความสนุกแล้วก็ชอบวิชานี้เป็นพิเศษแล้วก็สนุกตรงการพรีเซนต์ด้วย และมีการดูงานคนอื่นแล้วก็มาวิจารณ์กัน ถ้าเกิดเขามาดูงานของเราเขาก็วิจารณ์เราได้ เหมือนแลกเปลี่ยนความคิดกันครับ แล้วมันหลากหลายในเรื่องของการใช้หลักศิลปะครับ
สไตล์การวาดรูปของพี่จุ๋ย จุ๋ยส์
ก็จะเป็นออกในแนวเขียนสีอะคริลิคลงบนผ้าใบแล้วก็จะมีองค์ประกอบนี่แบบว่าต้องมีหน้าตัวเองอยู่ในนั้นอยู่ด้วย จะมีภาพของตัวเองอยู่ในงานเกือบจะทุกชิ้นเพราะว่าเหมือนกับว่าเราใส่ความเป็นตัวเองลงไปในงาน เราพรีเซนต์ออกมาในแนวของความสนุก ในงานของผมก็จะเป็นงานที่เรียกว่าเอา Realistic ผสมกับการ์ตูนแล้วก็มีการล้อเลียนกันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมคิด การทำงานศิลปะมันมีทั้งสิ่งที่จริงและสิ่งไม่จริง มีสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขกับสิ่งที่ทำให้เรามีความทุกข์ คือดึงเอาเรื่องราวต่างๆ มารวมกันอยู่ในภาพๆ เดียวทำให้มันดูหลากหลายในภาพๆ หนึ่งซึ่งผมก็ดึงในจุดนี้ Realistic กับมโนภาพเอามารวมกันเป็นงานของผม
ส่วนใหญ่เวลาวาดรูปได้แรงบันดาลใจจากไหน
ได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งรอบตัว ไม่ได้มองไปไหนไกลครับ มองสิ่งที่มันอยู่ใกล้ๆ อย่างผมอยากจะเขียนรูปสักรูป ผมก็จะมองกวาดสายตาไปอยู่แถวรอบๆ ตัวว่ามีอะไรบ้าง
อย่างงานชิ้นหนึ่งที่ผมชอบมากเลย อยู่ดีๆ ก็มองไปเห็นจักรยานหนึ่งคัน แล้วก็อยากทำงานเกี่ยวกับจักรยาน แต่ถ้ามาเขียนรูปตัวเองปั่นจักรยานอย่างเดียวมันก็รู้สึกว่าธรรมดา ในรูปก็เลยถอดล้อจักรยานคันนั้นออก เป็นจักรยานปั่นอยู่กับที่ แล้วก็เขียนแท็กเป็นภาษาอังกฤษที่แปลว่า คุณเชื่อไหมว่าผมจะเดินทางด้วยเจ้าสิ่งนี้ เหมือนในงานของผมมันจะมีแท็กที่อยู่ในภาพด้วยเพื่อให้มันขัดแย้งกันระหว่างภาษากับรูปภาพ ให้มันเกิดความคิดใหม่ขึ้นมาอีกสำหรับผู้ดูครับ
คิดว่าคนเรียนศิลปะหรือวิจิตรศิลป์ควรจะต้องมีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะหรือไม่
ผมว่าไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์นะครับ เพราะว่าถ้ามีพรสวรรค์ก็ไม่ต้องเรียนกัน แต่สำหรับคนที่ไม่มีพรสวรรค์ผมว่าน่าจะได้เติมเต็มความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะได้เยอะ ผมคิดว่าน่าจะเยอะกว่าคนที่มีพรสวรรค์อีก เพราะว่าคนที่มีพรสวรรค์บางคนอาจจะมีความเชื่อของตัวเองแบบนั้นโดยที่ชอบขัดแย้งกับอาจารย์ เวลาอาจารย์พูดอะไรมาก็ชอบเถียง จนบางทีอาจารย์ไม่มีอะไรจะสอน ในความคิดผม ถ้าคุณไม่มีทักษะหรือว่าไม่มีพรสวรรค์มันสามารถสร้างกันได้ พรสวรรค์มันมากับทักษะเสมอ ถ้ามีทักษะในด้านพื้นฐานแล้วพรสวรรค์มันก็จะตามมาเอง
กิจกรรมสนุกๆ หรือประเพณีเด่นๆของคณะ
ที่ มช. คณะวิจิตรศิลป์ก็จะมีกิจกรรมเด่นๆ เลยที่หลายคนก็คงจะรู้จักก็คือ งานลูกทุ่งวิจิตร ครับ จัดกันปีเว้นปีซึ่งจะจัดกันในช่วงปีเลขคู่ อย่างของผมเนี่ยเรียนรุ่น16 เนี่ยปี1 มาก็จะมีงานลูกทุ่งวิจิตรเลย ผมนี่โชคดีมากได้อยู่ มีส่วนร่วมอยู่ในงานลูกทุ่งวิจิตรเนี่ย 3 ปีด้วยกันเพราะว่าตอนปี1 ก็ได้เป็นลีดเดอร์เป็นเต้นหางเครื่องเพราะว่าอันนั้นบังคับอยู่แล้ว ตอนผมอยู่ปี3 ก็ได้เต้นอีกเพราะว่าชอบรู้สึกติดใจกับปีก่อนๆ ปี5 ผมก็ยังได้เต้นอีกนะฮะผมก็ร่วมกิจกรรมมาโดยตลอดกับลูกทุ่งวิจิตรแล้วรู้สึกว่ามันเป็นกิจกรรมที่สนุกแล้วมันเป็นจุดเด่นของคณะวิจิตรศิลป์ มช. ทุกคนจะรอดูลูกทุ่งวิจิตรว่าปีนี้จะมีแขกรับเชิญเป็นใครมา เพราะจะมีคนดังๆ มาด้วยนะครับ ไม่ใช่มีแต่จัดกันเองก็จะเชิญศิลปินที่มีชื่อเสียง อย่างยิ่งยง ยอดบัวงาม บางปียังมี Buddha Bless มาเลย ก็สนุกดีครับ
สมัยเรียนพี่จุ๋ย จุ๋ยส์ก็ทั้งเรียนศิลปะและเล่นดนตรีไปด้วย แบ่งเวลายังไง
เรียกว่าเป็นช่วงที่ผมเล่นดนตรีแบบเสริมมากกว่า เพราะว่าช่วงที่ผมเรียนศิลปะส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการเรียนมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนเรื่องดนตรีมาเป็นตัวเสริมครับ
ก่อนหน้านั้นผมชอบตีกลอง เวลาวงไหนขาดมือกลองผมก็จะไปตีกลองให้วงนั้น ช่วงนั้นจะยังไม่ค่อยได้เล่นกีตาร์ครับ แต่ก็เล่นไม่ได้บ่อยครับก็เล่นเป็นส่วนน้อย ก็มีกิจกรรมที่ให้ได้เล่นดนตรีกันเรื่อยๆ แบบงานออกร้านของคณะก็จะมีคอนเสิร์ตเล็กๆ มีเวทีตั้งอยู่ ก็จะไปทำกิจกรรมดนตรีกันตรงนี้
จุดเปลี่ยนที่ทำให้มาเอาจริงเอาจังด้านดนตรีมากกว่าศิลปะ
จุดเปลี่ยนที่เอาจริงเอาจังด้านดนตรีมากกว่าน่าจะเป็นตอนใกล้ๆ จะจบตอนช่วงที่ทำทีสิส อยู่ตอนปี 5 ตอนนั้นก็รู้สึกว่าน่าจะมีกิจกรรมเสริมหลังจากเรียน เพราะว่าตอนนั้นทำทีสิสอย่างเดียว มันใช้เวลาในการเขียนรูปค่อนข้างเยอะ ก็เลยต้องหากิจกรรมเสริมที่มันทำให้ตัวเองไม่เบื่อ ผมเป็นคนเบื่อง่ายก็เลยรู้สึกว่าจะต้องเอาดนตรีนี่แหละมาเป็นกิจกรรมเสริมของผม
ก็เลยไปขอเล่นร้านรุ่นพี่ครับ ซึ่งรุ่นพี่ก็กำลังหานักดนตรีอยู่พอดี เป็นรุ่นพี่ที่คณะวิจิตรศิลป์เหมือนกัน ก็รู้สึกว่าสนุกดีครับเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมในตอนช่วงทำทีสิส ทำให้ไม่เครียด และพอได้เล่นดนตรีแล้วรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย เพราะว่าดนตรีของผมมันไม่ได้ฟิกซ์ว่าจะต้องแกะแบบเป๊ะ ก็เล่นแบบฟรีสไตล์ครับ บางทีไม่ต้องสนใจอะไรเลยเล่นแบบฟังก็ได้ ไม่ฟังก็ได้ อะไรอย่างนี้ ทุกคนก็เข้าใจเพราะว่าเป็นร้านที่รวมคนที่ทำงานศิลปะอยู่ เพราะว่ารุ่นพี่เป็นรุ่นพี่จบศิลปะ อาจารย์ก็มานั่ง รุ่นน้องก็มาดู นี่ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ยึดอาชีพเล่นดนตรีมาโดยตลอดนับตั้งแต่ตอนนั้นมา
สิ่งที่เรียนมานำมาประยุกต์ใช้กับวงการเพลงและดนตรีได้บ้างไหม
ได้เยอะครับ สิ่งที่เรียนมาช่วยในการทำงานเพลงดนตรีได้เยอะ เพราะว่ามันมีหลักเหมือนกันก็คือการนำเสนอ เวลาเราทำรูปสักรูปหนึ่งหรือเขียนรูปสักชุด เราก็ต้องมีการเตรียมการและต้องมีการพรีเซนต์ว่าสิ่งที่คุณนำเสนอมันคืออะไร ต้องบอกได้ว่าไอ้เนี่ยทำไมต้องมาอยู่ตรงนี้ ทำไมต้องเอาอันนี้ไว้ตรงนั้นเพื่ออะไร ซึ่งงานการทำเพลงเนี่ยมันก็เหมือนกันเพราะว่าเราก็ต้องตอบโจทย์เค้าได้อีกว่าคนที่เค้าอยากฟังเพลงจุ๋ย จุ๋ยส์ เค้าก็จะถามว่าทำไมตรงนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมร้องแบบนี้
อีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของจินตนาการ ว่ามันเกิดขึ้นได้ตลอด บางทีเราเดินๆ อยู่มันก็มาเอง เหมือนกับถูกปลูกฝังไว้ตั้งแต่สมัยเรียนศิลปะ ตอนนั้นเวลาเรียนเราก็ต้องคิดงานอยู่ตลอดเวลา เพราะว่างานมันไม่ได้มีแค่ Painting อย่างเดียว ผมเรียน Painting แล้วก็มีวิชาโทประติมากรรม แล้วยังมีวิชาอื่นๆ อีก มันก็ต้องคิดหางานตลอดเวลา เดินๆ ไปไหนก็ต้องคิดจะทำอะไรดี ทำให้เราได้ใช้จินตนาการตลอดเวลา งานเพลงก็จำเป็นต้องใช้จินตนาการ เพราะว่าเราต้องแต่งเพลง เราต้องทำดนตรี เราต้องคิดว่าจะพรีเซนต์แบบไหน เราจะนำเสนออะไรให้ผู้ฟัง
เคยมีช่วงที่คิดยังไงก็คิดไม่ออกบ้างไหม
คิดยังไงก็คิดไม่ออกเหรอครับ ไม่เคยมีนะครับ มันมีแต่คิดช้าคิดเร็วแค่นั้นเองบางทีเราคิดออกแต่มันออกไม่หมด มันเหมือนค่อยๆ ออกมาทีละนิดๆ แต่บางอันมันออกมาแบบทีเดียวแบบรวดเดียวแล้วจบก็มีครับ แต่คิดไม่ออกเลยไม่เคยเจอ
รุ่นพี่หรือเพื่อนๆ ที่จบคณะนี้ด้วยกันประกอบอาชีพอะไรกันบ้าง
มีหลายอย่างไปกันในหลายทางครับ บางคนก็ไปเป็นครีเอทีฟ คนเขียนสคริปรายการ ไปเป็นคนทำอุปกรณ์ประกอบฉากรายการ ทำอุปกรณ์ประกอบฉากหนัง ไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับก็มี มันแตกแขนงไปเยอะครับ ไปทำอะไรได้เยอะเลยครับ เพราะว่าการปลูกฝังของสมัยที่ผมเรียนเนี่ยมันสอนให้ได้ใช้ชีวิตด้วย คือจินตนาการมันมีส่วนช่วยในการใช้ชีวิตได้ไปตลอดมัน ไม่ได้ฟิกอยู่แค่วิชาที่เราเรียนเท่านั้น อย่างถ้าเกิดเราเรียนแพทย์เราจะไปทำอย่างอื่นเราก็ลำบาก เราก็ต้องไปเป็นหมอ แต่วิจิตรศิลป์เนี่ยมันไปได้ทุกทาง ถ้าเกิดคนมีความถนัดในเรื่องของการทำประติมากรรม รุ่นพี่ผมก็ไปทำแบบชุดประกอบฉากหนัง ไปทำภูเขาไปทำอะไรให้ฉากรายการ นี่ก็คือได้ใช้ส่วนที่เรียนมาในการประกอบอาชีพครับ
คิดว่าคุณสมบัติของคนที่เหมาะจะเรียนจิตรกรรมเป็นยังไง
คุณสมบัติของคนที่เหมาะจะเรียนวิจิตรศิลป์ผมว่าน่าจะเป็นคนที่เปิดกว้างสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องไม่ปิดตัวเองอยู่ในกรอบ ไม่ได้เชื่อความเชื่อเก่าๆ เดิมๆ ที่เค้าปลูกฝังกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้วก็จะเชื่ออยู่อย่างนั้น ถ้าอย่างนี้จะเรียนวิจิตรศิลป์ยาก วิจิตรศิลป์คือการพลิกแพลง คนที่เป็นแบบน้ำเต็มแก้วมาเรียนวิจิตรศิลป์จะลำบาก เพราะใส่อะไรเข้าไปอีกไม่ได้ วิจิตรศิลป์คือการเติมเต็มสิ่งใหม่ๆ ให้เรื่อยๆ แล้วมันก็ยังไม่จบไม่สิ้นเพราะว่ามันไม่มีทฤษฎีตายตัวในการเรียนศิลปะ มันไม่ได้เป็นสูตรแบบหลักคณิตศาสตร์ ไม่ได้เป็นสูตรทางเคมี มันเป็นจินตนาการล้วนๆ คนที่เรียนวิจิตรศิลป์ต้องเปิดกว้างครับ
ตอนเรียนเคยเห็นต่างกับอาจารย์ รู้สึกว่างานของเราดีแล้ว แต่อาจารย์ยังเห็นว่ามันไม่ดีบ้างหรือไม่
ก็มีนะครับ ในช่วงที่เรียนในช่วงสักปี 2 ปี 3 ช่วงนี้จะไฟแรงมากแล้วก็พยายามคิดหากรรมวิธีใหม่ๆ ในการทำงาน มีอยู่ครั้งหนึ่งเขามีนางแบบมาให้เขียน ก็คือนางแบบอยู่ตรงกลางแล้วก็เขียนรูปสีน้ำมันกันในช่วงที่เรียน ทุกคนก็จะเขียนแบบเป็น Realistic เหมือนบ้างไม่เหมือนบ้างแต่โดยพื้นฐานก็จะเป็น Realistic ก็คือเฟ้นเอาความงามออกมาให้ได้มากที่สุด แบบที่หามาก็เป็นแบบนักศึกษาสาวสวยนั่งอยู่บนโต๊ะ แต่ผมไปดันพิเรนทร์ ก็คือไปเขียนเหมือนเป็นสไตล์แบบคิวบิคที่มันเหมือนเป็นแบบเหลี่ยมๆ ในแบบของผมมันก็ยังคงฟรอมไว้ แต่ทุกเส้นเงา ทุกแรเงาเนี่ยผมตัดเส้นด้วยสีดำหมดเลย อาจจะไม่ใช่ดำแท้นะครับ ถ้าดำแท้มันจะดูแบบทมึงถึงมันจะดูรก แต่อันนี้แบบมันดำพอเหมาะสำหรับผมในตอนนั้น มันก็คือแนววิธีการที่ผมต้องการจะพรีเซนต์แบบนี้ ซึ่งอาจารย์เค้าก็เข้าใจ เข้าใจว่าเราพร้อมที่จะก้าวต่อไปแล้วกับเทคนิคใหม่ๆ
ตอนนั้นอาจารย์ก็พูดบอกว่า คุณยังไม่พร้อมหรอกสำหรับตอนนี้ เพราะทฤษฎีพื้นฐานของคุณยังไม่ปึ้กเลยแล้วอยู่ดีๆ คุณจะก้าวข้ามขั้นไปแบบนั้นน่ะมันก็เป็นไปไม่ได้ ต้องเอา Realistic ให้อยู่ก่อน เพราะพื้นฐานมันอยู่ที่ความเป็นจริง ค่อยแตกแขนงออกไปตามจินตนาการของจิตรกร แต่ผมข้ามขั้นเร็วไปหน่อยก็จะมีข้อแย้งของอาจารย์ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องครับ
อาจารย์ก็ค่อนข้างเปิดกว้างแต่ก็ต้องยึดทฤษฎีของหลักสูตรของการเรียนไว้ด้วยครับ
ฝากถึงน้องๆ ที่สนใจอยากเรียนคณะวิจิตรศิลป์ มช.
ครับก็ฝากถึงน้องๆ นะครับ สำหรับคนไหนที่อยากไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีบรรยากาศดีก็แนะนำวิจิตรศิลป์ มช. นี่แหละครับ ตั้งแต่สมัยก่อนผมเรียนผมก็ไม่รู้เลยว่าเชียงใหม่เป็นยังไง ผมไปเชียงใหม่ครั้งแรกก็ได้ไปเรียนที่วิจิตรศิลป์แล้วรู้สึกว่าชอบ แล้วก็หลงรัก อยากให้น้องๆ ขยันกันเยอะๆ ถ้าเกิดอยากจะไปเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงดีๆ ไม่จำเป็นต้องวิจิตรศิลป์หรอกครับที่ไหนก็ได้แต่ถ้าแนะนำเลยบรรยากาศดีมากๆ วิจิตรศิลป์ เรียนจบแล้วยังไม่กลับเลยก็ยังอยู่เชียงใหม่อยู่เลยครับ
วิชาที่พิเศษก็คือ Drawing กับ Composition เนี่ยฝึกกันให้เยอะๆ เดี๋ยวนี้ก็เห็นน้องๆ รุ่นใหม่แล้วก็ดีใจเพราะว่าฝึกกันตั้งแต่เรียนม.2, ม.3, ม.4 ก็เรียนกันมาตลอด เดี๋ยวนี้รุ่นพี่ที่จบจากคณะวิจิตรศิลป์ไปก็ไปเปิดโรงเรียนติวก็เยอะ ก็ลองไปติดต่อลองไปเรียนดู จะได้มาเป็นรุ่นน้องของจุ๋ย จุ๋ยส์ ที่คณะวิจิตรศิลป์ มช. กันนะครับ
ปัจจุบัน คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีทั้งหมด 9 หลักสูตร คือ - หลักสูตรศิลปบัณฑิต สาขาวิชาศิลปะไทย และหลักสูตรปริญญาโทหนึ่งหลักสูตร คือ - หลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ ผู้สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม และ Presentation แนะนำคณะวิจิตรศิลป์ได้ที่ http://www.finearts.cmu.ac.th/prospectstudents |