พระนารายณ์ราชนิเวศน์ 1/5
พระนารายณ์ราชนิเวศน์ 2/5
พระนารายณ์ราชนิเวศน์ 3/5
พระนารายณ์ราชนิเวศน์ 4/5
พระนารายณ์ราชนิเวศน์ 5/5
พระ นารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระราชวังซึ่งสมเด็จพระนารายณ์ ทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2209เพื่อใช้ประทับ ณ เมืองลพบุรี แบ่งเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง และเขตพระราชฐานชั้นใน กำแพงพระราชวังก่อด้วยอิฐถือปูน มีใบเสมาเรียงรายบนสันกำแพง มีซุ้มประตูทั้งหมด 11 ซุ้ม ช่องประตูเข้าโค้งแหลม หลังคาประตูเป็นทรงจตุรมุข ตรงจั่วซุ้มประตูตกแต่งลายกระจังปูนปั้นที่วิวัฒนาการมาจากดอกบัว ที่ซุ้มประตูและกำแพงพระราชฐานชั้นกลาง และชั้นในมี ช่องเล็กๆ เจาะเป็นรูปโค้งแหลมคล้ายบัวเรียงเป็นแถว สำหรับวางตะเกียง ประมาณ 2,000 ช่อง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ.2399 เพื่อให้เป็นราชธานีชั้นใน และพระราชธานีชั้นใน และพระราชทานชื่อว่า "พระนารายณ์ราชนิเวศน์" ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มอาคารสิ่งก่อสร้างภายในพระราชวัง ฯ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
สิ่งก่อสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท
พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท
พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งท้องพระโรง มียอดแหลมทรงมณฑป ศิลปกรรมแบบไทยและฝรั่งเศสผสมผสานกัน ตรงกลางท้องพระโรงมีสีหบัญชรที่เสด็จ ออกเพื่อมีปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้าฯ ท้องพระโรงตอนหน้าสร้างแบบฝรั่งเศส ตัวมณฑปซึ่งอยู่ด้านหลังทั้งประตูและหน้าต่างเป็นซุ้มแบบไทย คือ ซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ ในจดหมายเหตุทูตฝรั่งเศสกล่าวพรรณนาพระที่นั่งองค์นี้ว่า " ตามผนังประดับด้วยกระจกเงา ซึ่งนำมาจากฝรั่งเศสเพดานแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจตุรัส 4 ช่อง ประดับด้วยลายดอกไม้ทองคำ และแก้วผลึกที่ได้มาจากเมืองจีนงดงามมาก " ผนังด้านนอกพระที่นั่งตรงมณฑปชั้นล่าง เจาะเป็นช่องโค้งแหลมสำหรับวางตะเกียง
พระที่นั่งจันทรพิศาล
พระที่นั่งจันทรพิศาล สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2208เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่สร้างทับลงไปบนรากฐานเดิมของพระที่นั่ง ซึ่งพระราเมศวร โอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอู่ทอง ได้ทรงสร้างเมื่อครั้งครองเมืองลพบุรีพระที่นั่งองค์นี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบ ไทยแท้ ด้านหน้ามีมุขเด็จ ภายหลังเมื่อได้สร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ขึ้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงย้ายไปประทับที่พระที่นั่งองค์ใหญ่ และโปรดให้ใช้พระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นที่ออกขุนนาง ซึ่งตรงกับบันทึกของชาวฝรั่งเศสว่าเป็นหอประชุมองคมนตรี ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงบูรณะพระที่นั่งองค์นี้ตามแบบเดิม
พระที่นั่งสุทธาสวรรย์
พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐาน ชั้นใน บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวไว้ว่า "พระที่นั่งองค์นี้ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานที่ร่มรื่น ทรงปลูกพรรณไม้ต่าง ๆ ด้วยพระองค์เอง หลังคาพระที่นั่งมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ที่มุมทั้งสี่มีสระน้ำขนาดใหญ่ 4 สระ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน" สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2231
ตึกพระเจ้าเหา
ตึกพระเจ้าเหา ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของเขตพระราชฐานชั้นนอก ตึกหลังนี้แสดงให้เป็นถึงลักษณะสถาปัตยกรรม สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ อย่างชัดเจนมาก เป็นตึกที่สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร ยกพื้นสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร ตัวตึกเป็นรูปทรงไทย ฐานก่อด้วยศิลาแลง แล้วจึงก่อด้วยอิฐขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันเหลือแต่ผนัง ประตูหน้าต่างทำเป็นซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ ด้วยเหตุว่า ภายในตึกมีฐานชุกชีปรากฏให้เห็นอยู่ และชาวฝรั่งเศสได้ระบุว่าเป็นวัด จึงสันนิษฐานว่าเป็นหอพระประจำพระราชวัง ตึกพระเจ้าเหาในตอนปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระเพทราชาและขุนหลวงสรศักดิ์ ใช้ตึกพระเจ้าเหาเป็นที่นัดแนะประชุมขุนนาง และทหาร เพื่อแย่งชิงราชสมบัติ ขณะที่สมเด็จพระ-นารายณ์มหาราช ทรงพระประชวรหนัก
ตึกสิบสองท้องพระคลัง หรือพระคลังศุภรัตน์
ตึกสิบสองท้องพระคลัง หรือพระคลังศุภรัตน์ เป็นตึกที่ตั้งเรียงรายอยู่ระหว่างอ่างเก็บน้ำ และตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง เป็นอาคารที่สร้างอย่างมีระเบียบด้วยอิฐ เป็น 2 แถว ยาวเรียงชิดติดกัน มีถนนผ่านกลาง รวม 12 หลัง เข้าใจว่าเป็นคลังเก็บสินค้าหรือเก็บสิ่งของที่ใช้ในราชการ
ตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง
ตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ใกล้กับหมู่ตึกสิบสอง ท้องพระคลัง เป็นสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส ตั้งอยู่กลางอุทยานรอบตึกมีคูน้ำล้อมรอบ ภายในคูมีน้ำพุพุ่งเรียงรายได้ระยะ 20 แห่ง จากเค้าโครงที่เหลือแสดงให้เห็นว่าในสมัยก่อนคงจะสวยงามมาก ทางด้านหน้าตึกเลี้ยงรับรอง มีรากฐานเป็นอิฐแสดงให้เห็นว่าตึกหลังเล็ก ๆ คงจะเป็นโรงมหรสพ ซึ่งมีการแสดงให้แขกเมืองชมภายหลังการเลี้ยงอาหาร สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้พระราชทานเลี้ยงแก่คณะทูตฝรั่งเศส ณ สถานที่แห่งนี้ในปี พ.ศ.2228 และ พ.ศ.2230
อ่างเก็บน้ำหรือถังเก็บน้ำประปา
อ่างเก็บน้ำหรือถังเก็บน้ำประปา ก่อด้วยอิฐยกขอบเป็นกำแพงสูงหนาเป็นพิเศษ ตรงพื้นมีท่อดินเผาฝังอยู่เพื่อ จ่ายน้ำไปใช้ตามตึกและพระที่นั่งต่าง ๆ โดยท่อดินเผาจากทะเลชุบศรและอ่างซับเหล็ก ตามบันทึกกล่าวว่า ระบบการจ่าย ทดน้ำเป็นผลงานของชาวฝรั่งเศสและอิตาเลี่ยน
โรงช้างหลวง
โรงช้างหลวง ตั้งเรียงรายเป็นแถวชิดริมกำแพงเขตพระราชฐานชั้นนอกด้านในสุด โรงช้างส่วนใหญ่ปรักหักพังเหลือแต่ฐานปรากฏให้เห็นเป็นประมาณ 10 โรง ช้างซึ่งยืนโรงพระราชวังเป็นช้างหลวง หรือช้างสำคัญสำหรับใช้เป็นพาหนะของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่
สิ่งก่อสร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประกอบด้วย หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎและอาคารต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์
หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ
หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งเสด็จบูรณะเมืองลพบุรี ประกอบด้วย พระที่นั่ง 4 องค์ คือ พระที่นั่งพิมานมงกุฎ เป็นที่ประทับ พระที่นั่งวิสุทธิวินิจฉัย เป็นท้องพระ-โรงเสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน
พระที่นั่งไชยศาสตรากร เป็นที่เก็บอาวุธ พระที่นั่งอักษรศาสตราคม เป็นที่ทรงพระอักษร ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระราชทานให้เป็นศาลากลางจังหวัด ต่อมาเมื่อศาลากลางจังหวัดย้ายไปอยู่ที่เมืองใหม่ พระที่นั่งหมู่นี้จึงรวมกับพระที่นั่งจันทรพิศาล เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์
พระที่นั่งไชยศาสตรากร เป็นที่เก็บอาวุธ พระที่นั่งอักษรศาสตราคม เป็นที่ทรงพระอักษร ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระราชทานให้เป็นศาลากลางจังหวัด ต่อมาเมื่อศาลากลางจังหวัดย้ายไปอยู่ที่เมืองใหม่ พระที่นั่งหมู่นี้จึงรวมกับพระที่นั่งจันทรพิศาล เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์
หมู่ตึกพระประเทียบ
หมู่ตึกพระประเทียบ ตั้งอยู่บริเวณหลังพระที่นั่งพิมานมงกุฎ ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานฝ่ายในเป็นตึกชั้นเดียว 2 หลัง ก่อด้วยอิฐปูน 2 ชั้น มี 8 หลัง สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักของข้าราชการฝ่ายในที่ตามเสด็จ รัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองลพบุรี
ทิมดาบหรือที่พักของทหารรักษาการณ์
ทิมดาบ หรือที่พักของทหารรักษาการณ์ เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าเขตพระราชฐานชั้นกลาง ข้างประตูทั้งสองด้าน ตรงบริเวณสนามหญ้าจะเห็นศาลาโถงข้างละหลัง นั่นคือตึกซึ่งสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักของทหารรักษาการณ์ในเขต พระราชวัง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4
ที่มา : https://lopburi.mots.go.th