สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
06 ส.ค. 64
 | 10.7K views



สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

 วันที่ 28 ธันวาคมนี้ เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาติไทย   คือเป็นวันคล้ายวันที่สมเด็จพระเจ้าตากสิน-มหาราชทรงกระทำพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี   หลังจากที่ได้รวบรวมกำลังจนเป็นปึกแผ่นมั่นคง แล้วยกหวนเข้ามาตีกองทัพพม่าที่ตั้งรักษากรุงศรีอยุธยาอยู่  แตกพ่ายไป ในปลายปี 2310 นั้นเอง   ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้มีความสำคัญต่อคนไทยและชาติไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากเราจะไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นสูญเสียความเป็นเอกราชแล้ว   การฟื้นฟูบ้านเมือง การเยียวยาจิตใจผู้คน ที่เสียหายยับเยินจากภัยสงครามก็ดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น  โดยถึงแม้จะทำได้ด้วยความยากลำบากก็ทรงพยายามทุกวิถีทาง ดังที่จะได้ยกพระราชกรณียกิจบางส่วนมาเผยแพร่ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติดังนี้

เราคงจะทราบจากการเรียนประวัติศาสตร์มาบ้างแล้วว่า   การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ปี พ.ศ. 2310 นั้น  ประเทศชาติพบกับความพินาศย่อยยับทุกด้าน ทุกทาง     ประชาชนได้รับความทุกข์ยากถึงที่สุด  นอกจากจะพลัดพรากจากครอบครัวคนที่รัก  ไม่มีบ้านจะอยู่  และทุพพลภาพแล้ว แม้แต่เสื้อผ้าจะใส่หรืออาหารจะกินก็แทบไม่มี  ดังหลักฐานที่บอกกล่าวถึงเหตุการณ์จากหลายทางด้วยกัน  เช่น  จดหมายเหตุของพวกคณะ-บาทหลวงฝรั่งเศสที่เข้ามาเมืองไทยสมัยนั้นได้บันทึกสภาพความอดอยากแร้นแค้นไว้บางตอนว่า  “พวกไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินต้องรับความเดือดร้อน ล้มตายวันละมาก ๆ  เพราะอาหารการกินอัตคัตกันดารอย่างที่สุด  ในปีนี้ (2312) ได้มีคนตายจำนวนมากกว่าเมื่อครั้งพม่าเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา”    ……ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาฉบับตุรแปงกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า……  “ราคาข้าวขึ้นสูงจนกลายเป็นสินค้าหายากในตลาดหัวเผือกหัวมันและพวกหน่อไม้เป็นอาหารสำคัญในภาวะอดอยากนี้ และคนส่วนมากถูกคุกคามจากโรคที่แปลกๆ  พวกคนป่วยความจำเสื่อมและพูดจาเลอะเลือนจนกลายเป็นคนเสียสติในระยะนี้อย่างง่ายดาย  ซึ่งทำให้แผ่ขยายความร้ายแรงน่ากลัวของโรคได้ดีขึ้น…”

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการจ่ายพระราชทรัพย์ซื้อข้าวสารจากพ่อค้าต่างประเทศที่บันทุกสำเภามาขายในราคาที่แพงมาก เพื่อแจกจ่ายแก่ราษฎร รวมถึงเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน พระราชทรัพย์ที่ทรงนำมาจับจ่ายครั้งนั้น    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ตั้งข้อสันนิษฐานว่า  “ซื้อข้าวเลี้ยงคนโซ คงจะได้เงินจากค่ายโพธิ์สามต้น” …..   “เงินจะได้มาทางใดไม่ว่า   พระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นผู้ซื้อข้าวมาแจกเฉลี่ยเลี้ยงชีวิตกันในเวลาขัดสน   อิ่มก็อิ่มด้วยกัน  อดก็อดด้วยกัน”…..  มีจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีกล่าวเรื่องนี้ไว้ตอนหนึ่งด้วยว่า   “ได้ปืนใหญ่ พม่าเอาไปไม่ได้ค้างอยู่   ให้ระเบิดเอาทองลงสำเภา  ซื้อข้าวถังละ 6 บาท เลี้ยงคนโซไว้ได้กว่าพัน”…..   แสดงว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงขวนขวายทุกวิถีทางที่จะช่วยราษฎรให้มีกินกันตาย และต้องทรงซื้อข้าวสารแจกอยู่นาน  ในพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับจันทนุมาศ (เจิม) ว่า “ครั้นลุศักราช 1132 ปีขาลโทศก (พ.ศ.2313)..ฯลฯ…ครั้งนั้น ข้าวแพงเกวียนละ 3 ชั่ง  ด้วยเดชะพระบารมีบรมโพธิสมภาร กำปั่นข้าวสารมาแต่ทิศใต้ก็ได้เกณฑ์ให้กองทัพเหลือเฟือ  แล้วทรงบริจาคทานแก่สมณะชีพราหมณ์  ยาจกวณิพก และครอบครัวบุตรภรรยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง…”

การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชดังนี้ นอกจากจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว  ยังมีผลให้เศรษฐกิจของชาติเริ่มฟื้นตัวด้วย จากการที่มีพ่อค้านำข้าวของมาขายกันหลายรายเพราะขายได้ราคาดี แต่พอมากันมากเข้าก็เริ่มเกิดแข่งขันกันทางการค้า ประชาชนก็ซื้อหาสินค้าในราคาถูกลง  ทั้งเมื่อมีข่าวแพร่กระจายไปว่าทรงเลี้ยงดูประชาชน  พวกที่หลบหนีไปซุกซ่อนในที่ต่าง ๆ ก็อพยพกลับภูมิลำเนา แล้วเริ่มประกอบอาชีพกันตามปกติ เฉพาะอย่างยิ่งการทำนาอันเป็นอาชีพหลัก  ทำให้บ้านเมืองเข้ารูปเข้ารอยและมีกำลังพลเมืองในการป้องกันข้าศึกศัตรูมากขึ้น   นอกจากนั้นยังได้โปรดเกล้าฯให้ข้าราชการช่วยกันทำนาปรังคือทำนานอกฤดูกาลเพื่อไม่ให้ต้องไปแย่งซื้อข้าวจากราษฎร และบรรเทาความขาดแคลนข้าวด้วย  ในปี 2314 ยังได้โปรดเกล้าฯให้ขยายพื้นที่ทำนาออกไปนอกคูเมืองทั้งฟากตะวันออกและฟากตะวันตกเรียกพื้นที่นี้ว่า “ทะเลตม”   ซึ่งนอกจากทำนาแล้วจะได้ใช้ตั้งค่ายต่อสู้เวลาข้าศึกยกมาประชิดเมืองด้วย  การทำนาในทะเลตมนี้ขยายวงกว้างออกไป ทางฟากตะวันตกก็ทำไปจนถึงกระทุ่มแบน หนองบัว แขวงเมืองนครชัยศรี    ฟากตะวันออกก็ทำนาติดต่อไปจนถึงทุ่งบางกะปิ ทุ่งสามเสน   กรุงเทพฯ จึงกลายเป็นแหล่งทำนาแห่งใหม่ที่สำคัญของภาคกลางตั้งแต่นั้นมา

พระราชกรณียกิจในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเท่าที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนน้อย ยังมีพระราชกรณียกิจด้านอื่นอีกมากมายที่ก่อประโยชน์แก่ชาติและประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคมนาคม   การค้าขายกับต่างประเทศ   การกอบกู้พระศาสนาและงานกอบกู้ศิลปวัฒนธรรมทุกแขนงทั้งวรรณกรรม นาฎศิลป์ การละคร และงานช่างศิลป์ที่ต้องทรงปฏิบัติไปพร้อมกัน   ดังนั้นช่วง 15 ปี แห่งการครองราชย์แม้จะเป็นระยะเวลาที่สั้น แต่ก็มีความหมายและสำคัญยิ่งต่อการดำรงอยู่ของชนชาติไทย   เมื่อวันคล้ายวันปราบดาภิเษกของพระองค์ท่านเวียนมาถึง จึงควรที่คนไทยทุกคนพึงรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์โดยทั่วกัน

 

เรียบเรียงจาก
     - สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และชาวจีนในสยาม : เสทื้อน  ศุภโสภณ  : เส้นทางเศรษฐกิจฉบับพิเศษ : 2527
     - ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่ม 3 : 2525

ข้อมูลจาก : บทความพิเศษ ประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท. เรื่อง "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"  ผลิตโดย ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ งานบริการการผลิต ฝ่ายออกอากาศวิทยุ กรุงเทพ