Tense คือ โครงสร้างประโยคแสดงกาลเวลาของการกระทำหรือเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน กำลังเกิดขึ้น หรือได้กระทำเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว มีโครงสร้าง 4 แบบ ดังนี้
โครงสร้าง simple ใช้บ่งบอกความเป็นปกติของกาลเวลา
โครงสร้าง continuous ใช้บ่งบอกถึงความต่อเนื่อง กริยาจะอยู่ในรูป be + V~ing
โครงสร้าง perfect ใช้บ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่ใช้ระยะเวลาและการกระทำนั้นสมบูรณ์แล้ว กริยาจะอยู่ในรูป have + V3
โครงสร้าง perfect continuous ใช้บ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ไปแล้ว โดยที่เหตุการณ์นั้นมีความต่อเนื่องหรือกำลังกระทำอยู่ ณ ขณะนั้น
*continuous tenses ในฝั่งอเมริกันจะนิยมเรียกว่า progressive tenses
Tense สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ Present Tense, Past Tense และ Future Tense โดยแต่ละประเภทยังจำแนกเป็น Tense ย่อยๆ อีกดังนี้
1. Present Tense
1.1 Present Simple
S + V1 (s/es)
Present Simple Tense ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. เรื่องที่กล่าวถึงทั่วๆ ไป ไม่ได้บ่งบอกเวลาที่เริ่มต้นหรือจบสิ้น เช่น
I live in Bangkok. (ฉันอยู่ที่กรุงเทพ)
He studies English. (เขาเรียนภาษาอังกฤษ)
She speaks three languages. (เธอพูด 3 ภาษา)
John is very smart. (จอห์นเท่ห์มากๆ)
Meghan comes from England. (เมแกนมาจากอังกฤษ)
2. สิ่งที่ทำเป็นกิจวัตร, ทำเป็นนิสัย, ไม่ค่อยได้ทำ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ, เป็นครั้งคราว (*สังเกตได้จาก Adverb of frequency) เช่น
Paul gets up early every day. (พอลตื่นเช้าทุกวัน)
He goes to work on Mondays. (เขาไปทำงานทุกวันจันทร์)
She always eats noodle for lunch. (มื้อเที่ยงเธอทานบะหมี่เสมอ)
I sometimes go to school by bus. (บางครั้งฉันก็ไปโรงเรียนโดยรถเมล์)
It often rains here in June. (ที่นี่ฝนตกบ่อยในเดือนมิถุนายน)
3. ความจริงทั่วไปหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น
The sun rises in the east. (พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก)
A square has four equal sides. (สี่เหลี่ยมจัตุรัสมีด้านที่เท่ากัน 4 ด้าน)
The Earth is round. (โลกเป็นทรงกลม)
Water boils at 100℃. (น้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส)
The average person breathes 21,600 times a day.
(โดยเฉลี่ยคนเราหายใจ 21,600 ครั้งใน 1 วัน)
1.2 Present Continuous
S + is/am/are + V~ing
Present Continuous Tense หรือ Present Progressive Tense ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. กำลังทำหรือกำลังเกิดขึ้นขณะที่พูด เช่น
I am working. (ฉันกำลังทำงานอยู่)
They are sitting in the garden now. (ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่ในสวน)
He’s laughing. (เขากำลังหัวเราะ)
Don’t go out now! It’s raining. (อย่าออกไปตอนนี้! ฝนตกอยู่)
Hurry up! The bus is coming. (เร็วเข้า! รถเมล์มาแล้ว)
Please be quiet! I’m studying. (กรุณาเงียบ! ฉันกำลังเรียนอยู่)
The living cost in Bangkok is going higher and higher.
(ค่าครองชีพในกรุงเทพฯ สูงขึ้นและสูงขึ้น)
*เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น 2 เหตุการณ์พร้อมกัน มักใช้กับคำเชื่อม while, whereas, at the same time เช่น
While Jennifer is watching YouTube, Lucy is talking on the phone.
(ในขณะที่เจนนิเฟอร์กำลังดูยูทูป, ลูซี่ก็กำลังคุยโทรศัพท์อยู่)
2. ทำเป็นประจำในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น
This semester I am studying at British Council.
(เทอมนี้ฉันเรียนที่บริติชเค้าน์ซิล)
3. พูดถึงเหตุการณ์ที่พัฒนาขึ้น เช่น
His English is progressing. (ภาษาอังกฤษของเขากำลังก้าวหน้า)
4. ใช้ในความหมายของกำหนดการหรือแผนการในอนาคต เช่น
She is getting married next month. (เขากำลังจะแต่งงานเดือนหน้า)
5. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ซ้ำๆ ซากๆ จนน่าเบื่อ เช่น
He is always asking the same questions. (เขาเอาแต่ถามคำถามเดิมๆ)
1.3 Present Perfect
S + have/has + V3
Present Perfect Tense ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. ใช้บอกการกระทำที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอดีต และยังมีผลมาจนถึงปัจจุบัน เช่น
He has worked here for 20 years.
(เขาทำงานที่นี่มา 20 ปีแล้ว (ตอนนี้ก็ยังทำอยู่))
We have studied English since we were young.
(พวกเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก (ตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่))
It’s Ann’s birthday tomorrow and I haven’t bought her a present.
(พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของแอนและฉันก็ยังไม่ได้ซื้อของขวัญให้เธอเลย)
They have gone out. (พวกเขาออกไปข้างนอกแล้ว (ตอนนี้ไม่อยู่ที่บ้าน))
I’ve lost my passport. (ฉันทำพาสปอร์ตหายไปแล้ว (ตอนนี้ก็ยังไม่เจอ))
2. เหตุการณ์นั้นเพิ่งจะจบลงไป เช่น
I have just finished my homework. (ฉันเพิ่งจะทำการบ้านเสร็จ)
She has just left. (เธอเพิ่งจะออกไป)
The game has just ended. (การแข่งขันเพิ่งจะจบลงไป)
Henry has just got up. (เฮนรีเพิ่งตื่น)
He’s just been to Paris. (เขาเพิ่งไปปารีสมา)
3. ประสบการณ์ เคย/ไม่เคย
I’ve seen this film before. (ฉันเคยดูหนังเรื่องนี้มาแล้ว)
Tom has climbed Mt. Fuji twice. (ทอมเคยปีนภูเขาไฟฟูจิมา 2 ครั้งแล้ว)
I’ve been to Japan but I haven’t been to the United States.
(ฉันเคยไปญี่ปุ่นแต่ไม่เคยไปสหรัฐอเมริกา)
*Adverb of time ที่มักอยู่ในรูปประโยค Present Perfect Tense สามารถวางไว้ระหว่าง V.ช่วย กับ V.แท้ หรือบางครั้งก็วางไว้ท้ายประโยค ดังนี้
I have just finished my work. (ฉันเพิ่งทำงานเสร็จ)
I haven’t told him yet. (ฉันยังไม่ได้บอกเขา)
Sandra has already gone to bed. (แซนดร้าไปเข้านอนเรียบร้อยแล้ว)
He has taught English since 2012. (เขาสอนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ปี 2012)
They have been married for ten years. (พวกเขาแต่งงานมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว)
My father has never travelled by air. (พ่อของฉันไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินเลย)
Have you ever played golf? (คุณเคยเล่นกอล์ฟมั้ย?)
1.4 Present Perfect Continuous
S + have/has + been + V~ing
Present Perfect Continuous Tense ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. ทำเป็นประจำตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน และยังจะทำต่อไปในอนาคต
I’ve been learning Chinese for two years.
(ฉันเรียนภาษาจีนมา 2 ปีแล้ว) และยังคงเรียนต่อไป
She’s been working since this morning.
(เธอทำงานมาตั้งแต่เช้านี้) และยังคงทำงานต่อไป
It’s been raining all day.
(ฝนตกมาทั้งวันเลย) และยังคงตกต่อไป
2. เหตุการณ์นั้นเพิ่งจะเสร็จสิ้น แต่ผลยังคงดำเนินอยู่ในขณะที่พูด
I have been eating since 11 a.m., so I am very full now.
(ฉันกินข้าวมาตอน 11 โมง ตอนนี้ก็เลยยังอิ่มอยู่)
2. Past Tense
2.1 Past Simple
S + V2 (~ed)
Past Simple Tense ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. ใช้เล่าเรื่องในอดีต เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในอดีต และจบไปแล้ว
He went to Singapore last week.
(เมื่อสัปดาห์ก่อนเขาไปสิงคโปร์ (ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่สิงคโปร์แล้ว))
Mark went to the Central Department Store yesterday.
(มาร์คไปห้างเซ็นทรัลมาเมื่อวาน)
We watched television yesterday evening.
(เมื่อวานนี้ตอนเย็นพวกเราดูทีวีกัน)
She worked in a bank from 2009 to 2020.
(เธอทำงานที่ธนาคารตั้งแต่ปี 2009 จนถึงปี 2020)
The party finished at midnight.
(งานปาร์ตี้จบตอนเที่ยงคืน)
2. ใช้เล่าเรื่องในอดีต โดยเรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกือบจะในเวลาเดียวกัน
Yesterday I saw a beggar, I opened my handbag, picked out a coin and gave it to him.
(เมื่อวานนี้ ฉันเจอขอทาน, ฉันเปิดกระเป๋า, หยิบเหรียญ แล้วก็ให้เขาไป)
Jason came into the room, took off his coat and sat down.
(เจสันเข้ามาในห้อง, ถอดเสื้อคลุม แล้วก็นั่งลง)
2.2 Past Continuous
S + was/were + V~ing
Past Continuous Tense หรือ Past Progressive Tense ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. เหตุการณ์นั้นกำลังดำเนินอยู่ในอดีตและมีการบ่งบอกเวลาอย่างชัดเจน
Yesterday, at 3.00 p.m. he was playing tennis.
(เมื่อวานตอนบ่าย 3 เขากำลังเล่นเทนนิส)
He was doing homework at 9 o’clock last night.
(เมื่อคืนตอน 3 ทุ่ม เขากำลังทำการบ้านอยู่)
2. สองเหตุการณ์กำลังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันในอดีต
ตัวเชื่อมเหตุการณ์
while = ในขณะที่
as = ในขณะที่
While the teacher was teaching, the students were talking.
(ในขณะที่ครูกำลังสอน นักเรียนก็กำลังคุย)
She was cooking as I was playing game.
(เธอกำลังทำกับข้าวในขณะที่ฉันกำลังเล่นเกม)
3. สองเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีต โดยที่เหตุการณ์แรกกำลังดำเนินอยู่และมีอีกเหตุการณ์มาขัดจังหวะ (เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและกำลังดำเนินอยู่เป็น Past Continuous ส่วนเหตุการณ์ที่มาขัดจังหวะเป็น Past Simple)
ตัวเชื่อมเหตุการณ์
while + Past Continuous = ขณะที่…
when + Past Simple = ขณะที่…
While I was teaching, he entered the class.
(ในขณะที่ฉันกำลังสอน เขาก็เข้ามาในห้องเรียน)
It was raining when I woke up.
(ฉันตื่นขึ้นมาในขณะที่ฝนกำลังตกอยู่)
Martin was reading a book when the phone rang.
(ตอนที่โทรศัพท์ดังขึ้น มาร์ตินกำลังอ่านหนังสืออยู่)
2.3 Past Perfect
S + had + V3
Past Perfect Tense ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. เหตุการณ์ในอดีตที่มีผลส่งมาถึงปัจจุบัน
She has gone to Taiwan.
เขาไปไต้หวันแล้ว (ตอนนี้เขาก็ยังอยู่ไต้หวัน)
I had had four tests until last semester ended.
(ฉันสอบไปตั้ง 4 ครั้งกว่าจะจบเทอมสุดท้าย)
2. เหตุการณ์เกิดขึ้น 2 เหตุการณ์ต่อเนื่องกัน
I couldn’t find my book. I had left it behind.
(ฉันหาหนังสือไม่เจอ ฉันคงไม่ได้เอามาด้วย)
It was 7 p.m.. Many shops had just closed.
(1 ทุ่มแล้ว ร้านค้าส่วนใหญ่จะปิดหมดแล้ว)
3. พูดถึงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ โดยที่เหตุการณ์แรกนั้นจบไปเรียบร้อยแล้วก่อนที่เหตุการณ์ 2 จะเกิดขึ้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและจบไปแล้วเป็น Past Perfect
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังเป็น Past Simple
Silvia had come to the party before Bill came.
(ซิลเวียมาถึงงานเลี้ยงก่อนหน้าที่บิลล์จะมา)
Past Perfect Tense มักจะใช้คู่กับ Past Simple โดยมีตัวเชื่อมดังนี้
When (เมื่อ)
After (หลังจาก)
Before (ก่อน)
By the time (เมื่อตอนนั้น)
When I arrived at the station, the train had left.
(ตอนที่พวกเราไปถึงสถานี รถไฟก็ออกไปซะแล้ว)
They had lived in LA for 10 months before they moved to New York.
(พวกเขาอาศัยอยู่ในแอลเอ 10 เดือน ก่อนที่จะย้ายไปนิวยอร์ก)
After the guestd had left, I went to bed.
(หลังจากที่แขกออกไปแล้ว ฉันก็เข้านอน)
2.4 Past Perfect Continuous
S + had + been + V~ing
Past Perfect Tense ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. ใช้เพื่อเน้นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องและอาจดำเนินต่อไปอีก รวมทั้งปรากฏให้เห็นผลในเวลาต่อมา เช่น
At last the bus came. I had been waiting for 35 minutes.
(ฉันรอตั้ง 35 นาที จนในที่สุดรถประจำทางก็มา)
His hair was still wet because he had been swimming.
(ผมของเขายังเปียกอยู่ เพราะว่าเขาไปว่ายน้ำมา)
She was very tired because she had been working all day.
(เธอเหนื่อยล้ามากเพราะทำงานมาทั้งวัน)
2. ใช้กับ 2 เหตุการณ์ในอดีต คือเหตุการณ์หนึ่งเกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่เป็นเวลาต่อเนื่องกันใช้ Past Perfect Continuous Tense อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นภายหลังใช้ Past Simple Tense เช่น
We had been discussing for two hours when he arrived.
(พวกเราปรึกษากันไปแล้วตั้ง 2 ชั่วโมงกว่าเขาจะมา)
The police had been looking for the criminal for two years before they caught him.
(ตำรวจตามหาอาชญากรนานถึง 2 ปีจึงจะจับตัวได้)
Daniel finally came at six o’clock. I had been waiting for him since 4.30
(ในที่สุดแดเนียลก็มาตอน 6 โมง ฉันรอเขาตั้งแต่ 4 โมงครึ่ง)
3. Future Tense
3.1 Future Simple
S + will/shall + V.inf
Future Simple Tense ใช้ในกรณีที่เราต้องการพูดถึงเหตุการณ์ในอนาคต
will ใช้ได้กับทุกสรรพนาม มีรูปย่อคือ will = ’ll และ will not = won’t
เราใช้ will ในกรณีต่อไปนี้
1. ตัดสินใจในขณะที่พูดว่าจะทำสิ่งนั้นในอนาคต โดยไม่ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เช่น
A: What would you like to drink?
B: I’ll have tea, please.
ประโยคนี้เป็นการตัดสินใจทันที (ว่าจะรับเป็นน้ำชา) ไม่ได้มีการวางแผนมาก่อน
I will take a taxi. (ฉันจะไปแท็กซี่)
Will you be at home this evening? (เย็นนี้เธอจะอยู่บ้านมั้ย?)
2. ใช้ในการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต โดยไม่ได้มีหลักฐานอย่างแน่ชัด เช่น
Next year all Thai population will be rich.
(ในปีหน้า ประชากรไทยทุกคนน่าจะรวย)
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต เช่น
She will be 25 next year. (ปีหน้าเธอจะอายุ 25 ปี)
รูปประโยค to be going to
S + V.to be + going to + V.inf
เราใช้รูปประโยค to be going to ในกรณีต่อไปนี้
1. เป็นความตั้งใจของผู้พูดที่จะทำสิ่งนั้นในอนาคต เช่น
I am going to eat a pizza tonight. (คืนนี้ฉันจะกินพิซซ่า)
Ken is going to the dentist on Friday. (เคนมีนัดกับหมอฟันวันศุกร์นี้)
We’re going to have a party in the park tomorrow.
(พรุ่งนี้พวกเราจะจัดปาร์ตี้ที่สวนสาธารณะ)
Are you going to take the three o’clock train? (คุณจะขึ้นรถไฟรอบบ่าย 3 เหรอ?)
Lisa is going to sell her car. (ลิซ่าจะขายรถของเธอ)
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ ในอนาคต โดยมีหลักฐานอย่างแน่ชัด เช่น
The sky is dark and cloudy, so it is going to rain.
(ท้องฟ้ามืดครึ้มเลย, ฝนคงจะตกแน่)
Oh dear! It’s 9 o’clock and I’m not ready. I’m going to be late.
(ตายจริง! 9 โมงแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันไปสายแน่)
He’s going to start a new business next year.
(เขาจะเริ่มธุรกิจใหม่ในปีหน้า)
3.2 Future Continuous
S + will + be + V~ing
Future Continuous Tense ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในอนาคต ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น
At 10 tomorrow she will be working. (พรุ่งนี้ 10 โมง เธอคงกำลังทำงานอยู่)
I’ll be playing golf at 4 o’clock. (ตอน 4 โมง ฉันคงจะกำลังเล่นกอล์ฟอยู่)
Ten years from now I’ll be running a big company.
(10 ปีต่อจากนี้ ฉันคงจะกำลังบริหารบริษัทใหญ่โต)
Will you be staying for more than one night, Sir?
(คุณลูกค้าจะเข้าพักที่นี่มากกว่า 1 คืนมั้ยครับ?)
The ship will be leaving in a few minutes.
(เรือกำลังจะแล่นออกไปในอีกไม่กี่นาที)
2. ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคต 2 เหตุการณ์ เหตุการณ์ที่ดำเนินต่อเนื่องยาวนานกว่าใช้ Future Continuous ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดตามมาใช้ Present Simple เช่น
I’ll be sleeping when you come home.
(ฉันคงกำลังนอนหลับตอนคุณมาถึงบ้าน)
When school is over, Ann will be waiting for us in front of school.
(เมื่อโรงเรียนเลิก แอนจะรอพวกเราอยู่หน้าโรงเรียน)
3. ใช้กับ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในอนาคต ซึ่งเหตุการณ์หนึ่งใช้ Future Continuous ส่วนอีกเหตุการณ์ที่เกิดควบคู่กันจะใช้ Present Continuous เช่น
I will be sleeping while my brother is watching the football match tonight.
(ฉันคงจะกำลังหลับอยู่ในขณะที่พี่ชายของฉันดูบอลคืนนี้)
3.3 Future Perfect
S + will + have + V3
Future Perfect Tense ใช้ในกรณีต่อไปนี้
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงอนาคตและจะจบลง (มักจะมีคำแสดงเวลาบอก) เช่น
I’ll have read this novel three times by next week.
(ฉันคงจะอ่านนิยายเรื่องนี้จบ 3 รอบก่อนอาทิตย์หน้า)
I’ll have painted the wall by 3 o’clock.
(ฉันคงจะทาสีเสร็จก่อน 3 โมง)
The rain won’t have stopped until midnight.
(ฝนคงจะไม่หยุดตกจนถึงเที่ยงคืน)
We will have lived here for three years next September.
(พวกเราจะอยู่ที่นี่ครบ 3 ปีในเดือนกันยายน)
By the end of the year, I will have lost a lot of weight.
(ตอนสิ้นปี ฉันคงจะลดน้ำหนักไปได้เยอะทีเดียว)
2. ใช้กับ 2 เหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนใช้ Future Perfect ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดตามมาใช้ Present Simple เช่น
By the time you finish your work, Martha will have finished preparing dinner.
(เมื่อคุณทำงานเสร็จ มาร์ธาคงจะเตรียมอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว)
The film will already have started by the time we arrive.
(ตอนที่พวกเราไปถึง หนังก็คงจะเริ่มฉายไปแล้ว)
3.4 Future Perfect Continuous
S + will + have + been + V~ing
Future Perfect Continuous Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่จะดำเนินอยู่ระยะเวลาหนึ่งในอนาคตซึ่งจะเกิดก่อน Future Simple Tense เช่น
Tom will have been studying for two hours by the time his roommate arrives.
(ทอมคงจะเรียนได้ 2 ชั่วโมงแล้วก่อนที่เพื่อนร่วมห้องของเขาจะกลับมา)
I will have been sleeping for two hours by the time Alex gets home.
(กว่าอเล็กซ์จะกลับบ้าน ฉันคงจะนอนได้ 2 ชั่วโมงแล้ว)
When Professor Jones retires next month, he will have been teaching for 35 years.
(ตอนที่ศาสตราจารย์โจนส์เกษียณเดือนหน้า เขาคงจะสอนครบ 35 ปีแล้ว)