Part of Speech (ชนิดของคำ) คือ ประเภทของคำต่างๆ ในภาษาอังกฤษ ที่จะบอกเราว่าแต่ละคำนั้นมีหน้าที่ทำอะไรในประโยคนั้นๆ แบ่งออกเป็น 8 ประเภทดังนี้
1. Noun (คำนาม) คือคำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ คุณสมบัติ การกระทำ ฯลฯ เช่น
three chairs (เก้าอี้ 3 ตัว)
a lot of furniture (เฟอร์นิเจอร์จำนวนมาก)
table tennis table (โต๊ะปิงปอง)
โดยทั่วไปเราแบ่งคำนามออกเป็น 8 ชนิด ดังนี้
1.1 Common noun (คำนามทั่วไป)
1.2 Proper noun (คำนามชื่อเฉพาะ)
1.3 Mass noun (วัตถุนาม)
1.4 Abstract noun (อาการนาม)
1.5 Collective noun (สมุหนาม)
1.6 Compound noun (นามประสม)
1.7 Agent noun (นามผู้กระทำ)
1.8 Noun-Equivalent (คำเสมือนนาม)
There is sand in my shoes. (มีทรายอยู่ในรองเท้าของฉัน)
Smoking is prohibited in this area. (ห้ามสูบบุหรี่บริเวณนี้)
*เราสามารถแบ่งคำนามเป็น Countable Noun และ Uncountable Noun
Countable Noun (นามนับได้) คือคำนามที่นับจำนวนได้เป็นตัวเลข อาจใช้คู่กับ article หรือคำบอกปริมาณก็ได้ มีทั้งรูปเอกพจน์และรูปพหูพจน์ เช่น
Meghan was singing a song. (เมแกนร้องเพลง)
Uncountable Noun (นามนับไม่ได้) คือคำนามที่ไม่สามารถนับจำนวนได้ แต่สามารถบอกปริมาณมากน้อยได้ มีแต่รูปเอกพจน์เท่านั้น เช่น
Have you got any money? (คุณมีเงินบ้างมั้ย?)
*Determiner (คำบ่งชี้นาม) คือ คำที่บ่งบอกและกำหนดคำนาม เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น ใช้วางหน้าคำนามเพื่อบอกปริมาณและกำหนดสถานะของคำนามนั้น โดยหลักๆ แล้ว Determiners แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ คำนำหน้านามและคำบอกปริมาณ ตัวอย่างเช่น
Miami is a city in Florida. (ไมอามี่เป็นเมืองๆ หนึ่งในรัฐฟลอริด้า)
Many students like the math teacher. (นักเรียนหลายคนชอบครูคณิตศาสตร์)
I have no idea about the event. (ฉันไม่มีความเห็นเกี่ยวกับกิจกรรมนี้)
2. Pronoun (คำสรรพนาม) คือ คำที่ใช้เรียกแทนคำนาม สามารถทำหน้าที่เป็นได้ทั้งประธาน กรรม ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ ใช้แสดงการเน้นย้ำ ใช้แทนคำนามแบบเจาะจง ใช้แทนคำนามทั่วไป หรือใช้เชื่อมความก็ได้ เช่น
Your car is bigger than mine. (รถของเธอใหญ่กว่ารถของฉัน)
Make yourself at home! (ทำตัวตามสบายนะ)
Everyone must attend the meeting. (ทุกคนต้องเข้าร่วมการประชุมนี้)
คำสรรพนามแบ่งออกเป็น 8 ประเภท ดังนี้
2.1 Personal pronoun (บุรุษสรรพนาม) เช่น
She’s got plenty of money. (เธอมีเงินมากมาย)
2.2 Possesive pronoun (สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ) เช่น
Alex denies that the child is his. (อเล็กซ์ปฏิเสธว่าไม่ใช่ลูกของเขา)
2.3 Reflexive pronoun (สรรพนามย้อนการกระทำ) เช่น
I look at myself in the mirror. (ฉันดูตัวเองในกระจก)
2.4 Definite pronoun (สรรพนามที่ชี้เฉพาะเจาะจง) เช่น
That is a bird. (นั่นคือนกหนึ่งตัว)
2.5 Indefinite pronoun (สรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง) เช่น
I can’t remember anything. (ฉันจำอะไรไม่ได้เลย)
2.6 Distributive pronoun (สรรพนามแบ่งแยก) เช่น
Bob and I didn’t eat anything. Neither of us was hungry.
(บ๊อบและฉันไม่ได้กินอะไร, เราทั้งคู่ยังไม่หิว)
2.7 Interrogative pronoun (สรรพนามใช้ถาม) เช่น
Whom are you going to see? (เธอจะออกไปเจอใครเหรอ?)
2.8 Relative pronoun (สรรพนามเชื่อมความ) เช่น
Do you know anybody who can play piano?
(คุณรู้จักคนที่เล่นเปียโนเป็นมั้ย?)
3. Verb (คำกริยา) คือ คำที่แสดงอาการ การกระทำ ความมีอยู่ หรือสภาพของประธานในประโยค คำกริยาในประโยคภาษาอังกฤษ หลักๆ แล้วแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ กริยาหลัก (Main verb) และกริยาช่วย (Helping verb)
3.1 Main Verbs (กริยาหลัก) ทำหน้าที่เป็นกริยากริยาหลัก ใช้กับเหตุการณ์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต มีหลายชนิด ดังนี้
- Regular verb (กริยาที่ผันปกติ) คือ กริยาที่เติม ~ed เมื่อผันเป็นกริยาช่อง 2 และช่อง 3 เช่น
We played basketball yesterday. (เมื่อวานพวกเราเล่นบาสเก็ตบอล)
- Irregular verb (กริยาที่ผันไม่ปกติ) กริยาที่ไม่ได้เติม ~ed เมื่อผันเป็นกริยาช่อง 2 และช่อง 3 แต่จะเปลี่ยนรูปไปเลย และรวมไปถึงกริยาที่คงรูปเดิมเสมอไม่มีการผันใดๆ กริยากลุ่มนี้จึงไม่มีหลักเกณฑ์ในการผันรูปที่แน่นอน เช่น
Many different languages are spoken in India.
(มีภาษามากมายที่ใช้พูดกันในประเทศอินเดีย)
- Transitive verb (สกรรมกริยา) คือ คำกริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ เช่น
I love you. (ผมรักคุณ)
She laid the baby on the bed. (เธอวางเด็กทารกลงบนเตียง)
- Intransitive verb (อกรรมกริยา) คือ คำกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ ส่วนใหญ่สิ่งที่ตามหลังคำกริยากลุ่มนี้จะเป็นส่วนเติมเต็ม (compliment) หรือส่วนขยายต่างๆ เช่น
Uncle John comes late. (ลุงจอห์นมาสาย)
He is sleeping on the sofa. (เขากำลังหลับอยู่บนโซฟา)
- Finite verb (กริยาแท้) คือ คำกริยาที่ทำหน้าที่แสดงกริยาอาการที่แท้จริงของประธาน มีการเปลี่ยนรูปตาม subject, voice, tense และ mood
- Non-finite verb (กริยาไม่แท้) คือ คำกริยาที่เปลี่ยนรูปไปทำหน้าที่อื่นๆ ได้แก่
Infinitives, Participles และ Gerunds ตัวอย่างเช่น
He encouraged me not to give up. (เขาให้กำลังใจฉันว่าอย่ายอมแพ้)
The car was stolen. (รถถูกขโมย)
Walking is good exercise. (การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ดี)
3.2 Helping Verbs หรือ Auxiliary Verbs (กริยาช่วย) ทำหน้าที่ขยายกริยาหลัก แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- Primary Auxillary Verbs ทำหน้าที่เป็นกริยาหลักหรือกริยาช่วยก็ได้ ได้แก่ V.to be, V.to do และ V.to have เช่น
He is a smart student. (เขาเป็นนักเรียนเก่ง)
What are you doing this evening? (เธอจะทำอะไรเย็นนี้?)
Have you got a job yet? (คุณได้งานรึยัง?)
- Modal Verbs เป็นกริยาช่วยที่แปลงความหมายของคำกริยาหลัก เพื่อบอกความสามารถ ขอร้อง ความจำเป็น เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
Mike can speak Spanish. (ไมค์พูดภาษาสเปนได้)
I used to live in California. (ฉันเคยอยู่ในแคลิฟอร์เนีย)
*Linking Verbs คือ อกรรมกริยาบางคำที่ทำหน้าที่เชื่อมประธานกับคำอื่นเพื่อบอกสภาวะคล้าย verb to be เช่น
The man looks angry. (ผู้ชายดูท่าทางโกรธ)
This food tastes delicious. (อาหารนี้รสชาติอร่อย)
4. Adjective (คำคุณศัพท์) คือ คำที่ใช้ขยายคำนามให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ใช้บอกลักษณะ, ความเป็นเจ้าของ, คุณภาพ, ปริมาณ, สี, ขนาด, รูปร่าง, น้ำหนัก, ส่วนสูง, เชื้อชาติ, ภาษา, จำนวนนับ, ลำดับที่ เป็นต้น เช่น
a new computer (คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่)
a black coat (เสื้อโค้ทสีดำ)
Do you like Japanese food? (เธอชอบอาหารญี่ปุ่นมั้ย?)
คำคุณศัพท์สามารถแบ่งออกเป็น 10 ประเภทดังนี้
1. Descriptive Adjective (คุณศัพท์แสดงคุณสมบัติ) เช่น
The weather is terrible today. (วันนี้อากาศไม่ดีเลย)
2. Proper Adjective (คุณศัพท์แสดงสัญชาติ) เช่น
I love Italian food. (ฉันรักอาหารอิตาเลี่ยน)
3. Quantitative Adjective (คุณศัพท์แสดงปริมาณ) เช่น
Do you want some coffee? (เธออยากได้กาแฟสักหน่อยมั้ย?)
4. Numeral Adjective (คุณศัพท์แสดงจำนวน) เช่น
I want a bedroom with a double bed. (ฉันอยากได้ห้องนอนที่มีเตียงคู่)
5. Demostrative Adjective (คุณศัพท์แสดงการชี้เฉพาะ) เช่น
This pillow is very soft. (หมอนใบนี้นุ่มมาก)
6. Interrogative Adjective (คุณศัพท์แสดงคำถาม) เช่น
Which subject do you like most? (ชอบวิชาอะไรที่สุด?)
7. Possesive Adjective (คุณศัพท์แสดงความเป็นเจ้าของ) เช่น
Thank you for your attention. (ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ)
8. Distributive Adjective (คุณศัพท์แสดงการแบ่งแยก) เช่น
She knows every student in the school. (เธอรู้จักนักเรียนทุกคนในโรงเรียน)
9. Emphasizing Adjective (คุณศัพท์แสดงการเน้น) เช่น
This café is my own business. (คาเฟ่นี้เป็นธุรกิจส่วนตัวของฉันเอง)
10. Exclamatory Adjective (คุณศัพท์แสดงการอุทาน) เช่น
How terrible! (แย่อะไรอย่างนี้!)
5. Adverb (คำกริยาวิเศษณ์) คือ คำที่ใช้ขยาย Verb, Adjective หรือแม้แต่ Adverb ด้วยกันเอง เพื่ออธิบายการกระทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเป็นอย่างไร เช่น
The car is slowly running down the street. (รถยนต์แล่นไปตามถนนอย่างช้าๆ)
You speak English very well. (คุณพูดภาษาอังกฤษเก่ง)
He has already finished the homework. (เขาทำการบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว)
* Adverb of Frequency (คำกริยาวิเศษณ์บอกความถี่) คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้แสดงความต่อเนื่องของเหตุการณ์ว่ามีความบ่อยมากน้อยแค่ไหน เช่น
Jim always go to work by car. (จิมไปทำงานโดยรถยนต์เสมอ)
I sometimes walks to work. (บางครั้งฉันก็เดินไปทำงาน)
* Adverb of Time (กริยาวิเศษณ์บอกเวลา) คือ กริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกริยาเพื่อแสดงเวลา เช่น
The price of gas is going up and up recently. (ตอนนี้ราคาแก๊สขึ้นเอาๆ)
Smith went to New York last month. (สมิทธ์ไปนิวยอร์กมาเมื่อเดือนที่แล้ว)
* Adverb of Degree (กริยาวิเศษณ์บอกระดับ) คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกระดับหรือปริมาณ โดยส่วนใหญ่วางไว้ระหว่างประธานและกริยาเพื่อขยายกริยาตัวนั้น หรือวางไว้หน้า adjective/adverb เพื่อขยายคุณศัพท์หรือกริยาวิเศษณ์ตัวนั้น เช่น
I entirely agree with you. (ฉันเห็นด้วยกับคุณ 100%)
The exhibition was very good. (งานนิทรรศกาลดีมาก)
6. Preposition (คำบุพบท) คือ คำที่ใช้บอกตำแหน่ง ทิศทาง ตลอดจนบอกช่วงเวลา โดยวางไว้หน้าคำนามหรือคำสรรพนาม คำบุพบทมีหน้าที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างคำกริยาและคำนาม เช่น
We have lived in Bangkok for three years.
(พวกเราอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มา 3 ปีแล้ว)
He went there on Tuesday. (เขาไปที่นั่นเมื่อวันอังคาร)
Let’s meet at 7.30 tomorrow evening. (พรุ่งนี้เจอกันตอนทุ่มครึ่ง)
Our hotel is near the airport. (โรงแรมของพวกเราอยู่ใกล้สนามบิน)
Everyone laughed at the joke. (ทุกคนต่างก็หัวเราะไปกับมุขตลก)
7. Conjunction (คำสันธาน) คือ คำที่ใช้เชื่อมคำหรือวลี หรือเชื่อมประโยคสองประโยคให้กลายเป็นประโยคเดียว เช่น
It was very hot, so I opened the window. (มันร้อนมาก ฉันก็เลยเปิดหน้าต่าง)
Martin is hungry because he didn’t have breakfast.
(มาร์ตินหิวเพราะว่าไม่ได้กินข้าวเช้ามา)
If I ate cake, I would get fat. (ถ้าฉันกินเค้ก ฉันคงจะอ้วนแน่)
Although he is young, he is wise. (ถึงแม้เขาจะอายุยังน้อย แต่เขาก็ฉลาด)
Many countries, for example Mexico and Japan, have a lot of earthquakes.
(หลายประเทศ ตัวอย่างเช่น เม็กซิโกและญี่ปุ่น เกิดแผ่นดินไหวบ่อยมาก)
8. Interjection (คำอุทาน) คือ คำหรือวลีแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เช่น ดีใจ ตกใจ เสียใจ ประหลาดใจ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
Awesome! (เยี่ยมไปเลย!)
Wow! I love it! (ว้าว! ฉันชอบมันมาก!)
Be careful, there are pieces of broken glass on the floor.
(ระวังนะ! มีเศษกระจกแตกอยู่บนพื้น)