Verbs (คำกริยา) คือ คำที่แสดงอาการ การกระทำ ความมีอยู่ หรือสภาพของประธานในประโยค คำกริยาในประโยคภาษาอังกฤษ หลักๆ แล้วแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ กริยาหลัก (Main verb) และกริยาช่วย (Helping verb) ในหนึ่งประโยคสามารถมีได้ทั้งกริยาหลักและกริยาช่วย
Main Verbs (กริยาหลัก) ทำหน้าที่เป็นกริยากริยาหลัก ใช้กับเหตุการณ์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต มีหลายชนิด ดังนี้
กริยาหลักแบ่งตามการเปลี่ยนรูป
1. Regular Verbs (กริยาที่ผันปกติ) คือ กริยาที่เติม ~ed เมื่อผันเป็นกริยาช่อง 2 และช่อง 3
walk --> walked --> walked
live --> lived --> lived
study --> studied --> studied
We played basketball yesterday. (เมื่อวานพวกเราเล่นบาสเก็ตบอล)
Have you finished your work yet? (เธอทำงานเสร็จรึยัง?)
2. Irregular Verbs (กริยาที่ผันไม่ปกติ) กริยาที่ไม่ได้เติม ~ed เมื่อผันเป็นกริยาช่อง 2 และช่อง 3 แต่จะเปลี่ยนรูปไปเลย และรวมไปถึงกริยาที่คงรูปเดิมเสมอไม่มีการผันใดๆ กริยากลุ่มนี้จึงไม่มีหลักเกณฑ์ในการผันรูปที่แน่นอน เช่น
speak --> spoke --> spoken
buy --> bought bought
cut --> cut --> cut
I’ve known her for a long time. (ฉันรู้จักเขามานานแล้ว)
Many different languages are spoken in India.
(มีภาษามากมายที่ใช้พูดกันในประเทศอินเดีย)
กริยาหลักแบ่งตามความต้องการกรรม
1.Transitive Verbs (สกรรมกริยา) คือ คำกริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ เช่น
I love you. (ผมรักคุณ)
I opened the door. (ฉันเปิดประตู)
Teacher punished student. (ครูลงโทษนักเรียน)
The boy is throwing a ball. (เด็กผู้ชายกำลังโยนลูกบอล)
John bought a new pair of shoes. (จอห์นซื้อรองเท้าคู่ใหม่)
2. Intransitive Verbs (อกรรมกริยา) คือ คำกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ ส่วนใหญ่สิ่งที่ตามหลังคำกริยากลุ่มนี้จะเป็นส่วนเติมเต็ม (compliment) หรือส่วนขยายต่างๆ เช่น
You look worried. (เธอดูกังวลนะ)
He is sleeping on the sofa. (เขากำลังหลับอยู่บนโซฟา)
Uncle John comes late. (ลุงจอห์นมาสาย)
กริยาหลักแบ่งตามหน้าที่
1. Finite Verbs (กริยาแท้) คือ คำกริยาที่ทำหน้าที่แสดงกริยาอาการที่แท้จริงของประธาน มีการเปลี่ยนรูปตาม subject, voice, tense และ mood
กริยาแท้ในภาษาอังกฤษมี 5 รูป ดังนี้
1. V.inf (กริยาช่อง 1)
2. V2 หรือ past simple (กริยาช่อง 2)
3. V3 หรือ past participle (กริยาช่อง 3)
4. V~ing หรือ present participle (กริยารูป ~ing)
2. Non-finite Verbs (กริยาไม่แท้) คือ คำกริยาที่เปลี่ยนรูปไปทำหน้าที่อื่นๆ ได้แก่
2.1 Infinitives แบ่งเป็น Infinitive with to และ Infinitive without to เช่น
I hope to see you again soon. (ฉันหวังว่าจะพบคุณอีก)
He encouraged me not to give up. (เขาให้กำลังใจฉันว่าอย่ายอมแพ้)
You shouldn’t work hard. (คุณไม่ควรทำงานหนัก)
2.2 Participles แบ่งเป็น Past participle และ Present participle เช่น
We are eating pizza. (พวกเรากำลังกินพิซซ่าอยู่)
This is an interesting movie. (นี่เป็นหนังที่น่าสนใจ)
The car was stolen. (รถถูกขโมย)
2.3 Gerunds เช่น
Walking is good exercise. (การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ดี)
We enjoy playing tennis. (พวกเราสนุกกับการเล่นเทนนิส)
Helping Verbs หรือ Auxiliary Verbs (กริยาช่วย) ทำหน้าที่ขยายกริยาหลัก แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. Primary Auxillary Verbs ทำหน้าที่เป็นกริยาหลักหรือกริยาช่วยก็ได้ ได้แก่
Verb to be คือ is, am, are, was, were
Verb to do คือ do, does, did
Verb to have คือ has, have, had
John is afraid of spiders. (จอห์นกลัวแมงมุม)
Do you speak English? (คุณพูดภาษาอังกฤษได้มั้ย?)
We have our lunch at noon. (พวกเรากินข้าวเที่ยงตอนเที่ยงวัน)
*Linking Verbs คือ อกรรมกริยาบางคำที่ทำหน้าที่เชื่อมประธานกับคำอื่นเพื่อบอกสภาวะคล้าย verb to be
The man looks angry. (ผู้ชายดูท่าทางโกรธ)
This food tastes delicious. (อาหารนี้รสชาติอร่อย)
2. Modal Verbs เป็นกริยาช่วยที่แปลงความหมายของคำกริยาหลัก เพื่อบอกความสามารถ ขอร้อง ความจำเป็น เป็นต้น
can, could, may, might, must, ought to, shall, should, will, would, used to, need, dare, be able to, had better, would rather
Mike can speak Spanish. (ไมค์พูดภาษาสเปนได้)
Would you like some coffee? (เอากาแฟสักหน่อยมั้ย?)
I used to live in California. (ฉันเคยอยู่ในแคลิฟอร์เนีย)
