ไวยากรณ์ (Grammar) Auxiliary Verbs
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
19 พ.ย. 68
 | 374 views



หลายประโยคในภาษาอังกฤษไม่สามารถใช้กริยาแท้ตัวเดียวได้ จำเป็นต้องดึงกริยาอีกตัวเข้ามาเสริม กริยาช่วยเหล่านั้นเราเรียกว่า Auxiliary Verb หรือ Helping Verb (V.ช่วย) คำกริยาเหล่านี้ทำให้กริยาแท้มีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการทำให้ประโยคต่างๆ กลายเป็นประโยคคำถาม, ประโยคปฏิเสธ, เหตุการณ์ต่างๆ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หรือการแสดงเงื่อนไขต่างๆ เป็นต้น V.ช่วย นั้นมีหลายตัว แต่ละตัวมีความหมายและวิธีการใช้แตกต่างกัน ดังนี้

 

1.  V.to be

V.to be ถ้าเป็น V.แท้ (กริยาหลัก) จะแปลว่า เป็น อยู่ คือ V.to be ยังทำหน้าที่เป็น V.ช่วย ได้อีกด้วย มีทั้งหมด 8 รูป คือ be, being, is, am, are, was, were และ been โดยแต่ละรูปจะใช้กับ Pronoun หรือ Subject และสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

is/am/are คือ verb to be ในรูปปัจจุบัน ใช้ใน Present simple และ Present continuous

Pronoun

V.to be (ปัจจุบัน)

I
you
he
she
it
they
we

am
are
is
is
is
are
are

ประธานเอกพจน์
ประธานพหูพจน์

is
are

ประโยคบอกเล่า

is/am/are นั้นเป็นรูปเต็ม แต่ในภาษาพูดหรือการสนทนากันนั้น เรามักใช้ is/am/are ในรูปย่อ ทั้งในประโยคบอกเล่าและประโยคปฏิเสธ ดังนี้

am --> ’m        
is --> ’s            
are --> ’re
I’m tired.                (ฉันเหนื่อย)
You’re my best friend.        (คุณคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน)
He’s a good guy.            (เขาเป็นคนดี)    
She’s very beautiful.            (เธอสวยมาก)
It’s expensive.            (มันแพง)
They’re my children.        (พวกเขาคือลูกๆ ของฉัน)
We are the champions.        (พวกเราคือผู้ชนะ)
My brother is very tall.        (พี่ชายของฉันตัวสูงมาก)
John is afraid of spiders.        (จอห์นกลัวแมงมุม)
Your shoes are very dirty.        (รองเท้าของคุณสกปรกจัง)

 

ประโยคปฏิเสธ

เราสามารถทำให้เป็นประโยคปฏิเสธได้เลย โดยการเติม not หลัง V.to be ดังนี้

am not --> ’m not            
is not --> ’s not    หรือ isn’t
are not --> ’re not    หรือ aren’t
I’m not a hungry.            (ฉันไม่หิว)
You’re not alone.            (คุณไม่ได้อยู่คนเดียว)
He is not my type.            (เขาไม่ใช่สเป็คของฉัน)
They aren’t at home at the moment.    (ตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่บ้าน)
Sydney isn’t in Austria.        (ซิดนีย์ไม่ได้อยู่ในออสเตรีย)

 

ประโยคคำถาม

เวลาเปลี่ยนเป็นประโยคคำถามให้เอา V.to be ขึ้นต้นประโยคได้เลย ดังนี้

is/am/are + S + …?
Are you married?            (คุณแต่งงานรึยัง?)
Is it free?                (ฟรีรึเปล่า?)
Am I late?                (ฉันสายมั้ย?)
Is your father at home?        (พ่อเธออยู่ที่บ้านรึเปล่า?)
Are you ready?            (พร้อมมั้ย?)

*คำถามที่ขึ้นต้นด้วย V.to be ถือเป็น Yes/No Question เราจะต้องตอบด้วย yes หรือ no เท่านั้น โดยสามารถตอบสั้นๆ ได้ดังนี้

Is he handsome?         No, he isn’t.
Are they happy?        Yes, they are.

 

ในกรณีที่ถามด้วย Question words ให้ขึ้นต้นประโยคด้วยคำแสดงคำถาม Wh~ แล้วตามด้วย V.to be ตามโครงสร้างประโยคคำถาม ดังนี้

Wh~ + is/am/are + …?
Where are you from?        (เธอมาจากที่ไหน?)
What’s your favourite colour?    (สีโปรดของคุณคือสีอะไร?)
How old are you?            (เธออายุเท่าไหร่?)
Who’s that girl?            (สาวคนนั้นคือใคร?)
Why are you late?            (ทำไมคุณถึงมาสาย?)

was/were คือ V.to be ในรูปอดีต เป็นกริยาช่อง 2 ของ be ใช้ใน Past simple และ Past continuous โดยมีการผันจาก is/am/are ดังนี้

am/is --> was
are --> were

*was/were ใช้กับ Pronoun หรือ Subject ที่ต่างกัน โดยยึดวิธีเดียวกับกรณีของ is/am/are

 

ประโยคบอกเล่า

You were late yesterday.            (เมื่อวานคุณมาสาย)
The weather was bad last week.        (เมื่ออาทิตย์ก่อนอากาศไม่ดีเลย)
When I was a child, I was afraid of dogs.    (ตอนฉันเป็นเด็ก ฉันกลัวหมา)
He was her first husband.            (เขาเป็นสามีคนแรกของเธอ)
My grandmother was a nurse.        (คุณย่าของฉันเคยเป็นพยาบาล)

 

ประโยคปฏิเสธ

เราสามารถทำให้เป็นประโยคปฏิเสธได้เลย โดยการเติม not หลัง was/were ดังนี้

was     --> was not     หรือ wasn’t
were     --> were not     หรือ weren’t
The hotel wasn’t expensive.        (โรงแรมไม่แพง)
We weren’t tired.                (พวกเราไม่เหนื่อย)
They weren’t at the party.            (พวกเขาไม่ได้ไปงานปาร์ตี้)
Because I wasn’t 18, I couldn’t vote in the last election.
(ฉันยังอายุไม่ถึง 18 ก็เลยไม่ได้เลือกตั้งครั้งล่าสุด)
It wasn’t comfortable.            (มันไม่ค่อยสะดวกสบาย)

    

ประโยคคำถาม

เวลาเปลี่ยนเป็นประโยคคำถามให้เอา was/were ขึ้นต้นประโยคได้เลย ดังนี้

was/were + S + …?
Was your exam difficult?            (ข้อสอบยากมั้ย?)
Was the weather nice yesterday?        (เมื่อวานอากาศดีมั้ย?)
Were they happy?                (พวกเขามีความสุขรึเปล่า?)
Were you at the concert?            (คุณไปคอนเสิร์ตมามั้ย?)
Was it expensive?                (มันแพงมั้ย?)

*คำถามที่ขึ้นต้นด้วย was/were ถือเป็น Yes/No Question เราจะต้องตอบด้วย yes หรือ no เท่านั้น โดยสามารถตอบสั้นๆ ได้ดังนี้    

Was Tom at work yesterday?    Yes, he was.
Were you late?            No, I wasn’t.
Were Sue and Jane at the party?    No, they weren’t.    

ในกรณีที่ถามด้วย Question words ให้ขึ้นต้นประโยคด้วยคำแสดงคำถาม Wh~ แล้วตามด้วย was/were ตามโครงสร้างประโยคคำถาม ดังนี้

Wh~ + was/were + …?
Why were you late this morning?        (เมื่อเช้านี้ทำไมถึงมาสาย?)
Where were you last week?        (อาทิตย์ก่อนคุณไปอยู่ไหน?)
How much was your new camera?    (กล้องใหม่ของเธอราคาเท่าไหร่?)

be เป็นกริยาช่อง 1 ของ V.to be มักใช้ในการเตือนและใช้ใน Future Tense เช่น

Be quiet!                    (เงียบ!)
Be careful!                    (ระวัง!)
Don’t be silly.                    (อย่างี่เง่า)
Adam will be there in November.        (อดัมจะไปถึงที่นั่นเดือนพฤศจิกายน)
We’ll be starting in about an hour.    (เรากำลังจะเริ่มในอีก 1 ชั่วโมง)    
It will be dark soon.                (อีกไม่ช้าจะมืดแล้ว)

 

being เป็นรูป present participle ของ V.to be ใช้สื่อถึงนิสัยหรือพฤติกรรมที่กำลังเป็นอยู่ เช่น

He is being very helpful these days.    (ช่วงนี้เขาช่างมีน้ำใจเหลือเกิน)
You’re being too generous.            (คุณช่างใจดีเหลือเกิน)

 

been เป็นกริยาช่อง 3 (past participle) ของ V.to be ใช้ตามหลัง V.to have กลายเป็น have been, has been และ had been ใน Present Perfect เช่น

We have been ready for an hour.        (พวกเราพร้อมมาชั่วโมงหนึ่งแล้ว)
The weather has been really nice since June.    (อากาศดีมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน)
She has been invited to a party.        (เธอได้รับการเชิญให้ไปปาร์ตี้)

 

II. V.to do

V.to do เป็นกริยาหลักแปลว่า ทำ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะทำหน้าที่เป็น V.ช่วย มีทั้งหมด 5 รูป คือ do, does, did, doing และ done โดยแต่ละรูปจะใช้กับประธานต่อไปนี้

Pronoun

V.to do

I

you

he

she

it

they

we

do

do

does

does

does

do

do

ประธานเอกพจน์

ประธานพหูพจน์

does

do

 

*did ใช้ได้กับประธานทุกตัว และใช้ในรูปอดีต (Past Simple)

V.to do ใช้ในกรณีต่อไปนี้

1. ใช้เป็น V.แท้ แปลว่า ทำ เช่น

I do my homework.                (ฉันทำการบ้าน)
She does her exercises.            (เขาทำแบบฝึกหัดของเขา)
There’s nothing to do.            (ไม่มีอะไรทำ)

2. ใช้เป็น V.ช่วย ทำให้ประโยคนั้นเป็นประโยคคำถามหรือประโยคปฏิเสธ เช่น

He walks to school.                (เขาเดินไปโรงเรียน)    
Does he walk to school?            (เขาเดินไปโรงเรียนเหรอ?)
He doesn’t walk to school.            (เขาไม่ได้เดินไปโรงเรียน)

3. ใช้นำหน้า V.แท้ ในประโยคบอกเล่า เป็นการเน้นย้ำการกระทำนั้นๆ เช่น

I do like him.                    (ฉันชอบเขาจริงๆ นะ)
We do see the ghost.            (พวกเราเห็นผีจริงๆ นะ)
I did see her yesterday.            (ฉันเห็นเธอเมื่อวานจริงๆ นะ)

4. ใช้แทนกริยาตัวอื่นที่กล่าวซ้ำมาแล้วในประโยคเดียวกัน เช่น

She works yesterday but I didn’t.        (เมื่อวานเขาทำงานแต่ผมไม่ได้ทำ)

 

ประโยคบอกเล่า

V.to do ที่อยู่ในประโยคบอกเล่าจะทำหน้าที่เป็น V.แท้

S + do/does/did + …
S + Modals + do + …        
I do exercise every day.            (ฉันออกกำลังกายทุกวัน)
He did it three times.            (เขาทำมัน 3 ครั้ง)
I can do it.                    (ฉันทำได้)
She sings better than I do.            (เธอร้องเพลงดีกว่าฉัน)
We should do something to help him.    (พวกเราควรทำอะไรสักหน่อยเพื่อช่วยเขา)

 

ประโยคปฏิเสธ

เราสามารถทำ V.to do ให้อยู่ในรูปปฏิเสธได้โดยการเติม not หลัง V.to do ได้เลย ส่วนการเปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธนั้น เราทำได้โดยใช้ V.to do ช่วย แต่ทั้งนี้กริยาที่ตามหลัง V.to do นั้นจะต้องอยู่ในรูป V.inf เสมอดังนี้

S + do/does/did + not + V.inf

I like bananas.   -->  I do not like bananas.
He wants a pen.    --> He does not want a pen.

ในภาษาพูดหรือการสนทนากันนั้น เรามักใช้ do not/does not/ did not ในรูปย่อ ดังนี้

do not --> don’t
does not --> doesn’t
did not --> didn’t

S + don’t/doesn’t/didn’t + V.inf

I don’t understand.                (ผมไม่เข้าใจ)
She doesn’t have a car.            (เธอไม่มีรถ)
I don’t care.                    (ฉันไม่สน)
They don’t want to work.            (พวกเขาไม่อยากไปทำงาน)
I didn’t say.                    (ฉันไม่ได้พูดนะ)

 

*don’t มักใช้เป็นสำนวนในการสั่งห้ามหรือขอความร่วมมือ เช่น

Don’t run!                    (อย่าวิ่ง!)
Don’t be silly!                    (อย่างี่เง่าสิ!)    
Please don’t litter.                (กรุณาอย่าทิ้งขยะ)

 

ประโยคคำถาม

เมื่อต้องการเปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถาม เราสามารถเอาใช้ V.to do ช่วย โดยการเอา V.to do ขึ้นต้นประโยคได้เลย แล้วเรียงลำดับคำดังนี้

do/does/did + S + V.inf …?

He likes football.        --> Does he like football?
You know Peter.        --> Do you know Peter?
Do you know?                (คุณรู้มั้ย?)
Do you work on Saturdays?        (เธอทำงานวันเสาร์มั้ย?)
Do you speak English?            (คุณพูดภาษาอังกฤษได้มั้ย?)
Does she work hard?            (เขาทำงานหนักรึเปล่า?)
Did she go to England last week?        (อาทิตย์ที่แล้วเขาไปอังกฤษมารึเปล่า?)

*คำถามที่ขึ้นต้นด้วย V.to do ถือเป็น Yes/No Question เราจะต้องตอบด้วย yes หรือ no เท่านั้น ในประโยคตอบรับให้ใช้ V.to do ที่ใช้ในประโยคคำถาม สามารถตอบสั้นๆ ได้ดังนี้

Do you smoke?            Yes, I do.
Does it rain a lot in Bangkok?    Yes, it does.

 

ในกรณีที่ถามด้วย Question words ให้ขึ้นต้นประโยคด้วยคำแสดงคำถาม Wh~ แล้วตามด้วย V.to do และเรียงลำดับคำ ดังนี้

Wh~ + do/does/did + S + V.inf …?

Where do you live?                (คุณอยู่ที่ไหน?)
What did he say?                (เขาพูดว่าอะไร?)
How much does it cost?            (ราคาเท่าไหร่?)
What do you do?                (คุณทำงานอะไร?)
How often do you wash your hair?    (เธอสระผมบ่อยแค่ไหนเหรอ?)

 

*doing เป็นรูป present participle ของ V.to do ใช้ใน Continuous Tense เช่น

He is doing something.            (เขากำลังทำอะไรบางอย่าง)
What are you doing this evening?        (เธอจะทำอะไรเย็นนี้?)
How are you doing?                (ช่วงนี้เป็นไงบ้าง?)

 

*done ใช้ได้กับประธานทุกตัว โดยใช้ตามหลัง V.to have หรือ V.to be กลายเป็น have done, was done, been done เป็นต้น เช่น

What have you done to your hair?    (ไปทำอะไรกับผมมา?)
The job’s almost done.            (งานเกือบจะเสร็จหมดแล้ว)
I think the hamburgers are done.        (ฉันว่าแฮมเบอร์เกอร์สุกแล้วล่ะ)

 

III. V.to have

V.to have ถ้าเป็น V.แท้ แปลว่า มี, กิน, ได้รับ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะทำหน้าที่เป็น V.ช่วย มีทั้งหมด 4 รูป คือ have, has, having และ had ใช้ได้ทั้งในประโยคบอกเล่า, ประโยคคำถาม และประโยคปฏิเสธ โดยที่ V.to have แต่ละรูปนั้นจะใช้กับ Pronoun ดังต่อไปนี้

Pronoun

V.to have

I

you

he

she

it

they

we

have

have

has

has

has

have

have

ประธานเอกพจน์

ประธานพหูพจน์

has

have

 

*had ใช้ได้กับประธานทุกตัว และใช้ในรูปอดีต

V.to have ใช้ในกรณีต่อไปนี้

1. ใช้เป็น V.แท้ แปลว่า มี, กิน และได้รับ เช่น

He has a pen.                (เขามีปากกา 1 ด้าม)
We have our lunch at noon.        (พวกเรากินข้าวเที่ยงตอนเที่ยงวัน)
She’ll have an accident one day.        (วันนึงเขาจะต้องได้รับอุบัติเหตุ)

2. ใช้เป็น V.ช่วย ทำให้ประโยคนั้นเป็น Perfect tense

Charlie has lived in Thailand for three years.    (ชาลีอยู่ที่กรุงเทพฯมา 3 ปีแล้ว)

 

ประโยคบอกเล่า

I’ll have the salmon.                (ฉันจะกินปลาแซลมอน)
He has a sister.                (เขามีน้องสาว 1 คน)
She’s going to have a baby.        (เธอกำลังจะมีลูก)
We had a great time last week.        (พวกเรามีความสุขมากเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว)
They had a wonderful house.        (พวกเขามีบ้านที่สวยมาก)

 

ประโยคปฏิเสธ

เราสามารถใช้ V.to do มาช่วยในการทำให้ have/has เป็นรูปปฏิเสธ ดังนี้

don't have    = ไม่มี
doesn’t have    = ไม่มี
We don’t have a car.            (พวกเราไม่มีรถ)
They don’t have any children.        (พวกเขาไม่มีลูก)
She doesn’t want to have a boyfriend.    (เธอไม่อยากมีแฟน)

    

ประโยคคำถาม

เราใช้ V.to do มาช่วยในการทำให้ have/has เป็นประโยคคำถาม ดังนี้

do/does + S + have + …?

Do you have a meeting today?        (วันนี้คุณมีประชุมมั้ย?)
How much money do you have?        (คุณมีเงินเท่าไหร่?)
Does your father have a car?        (พ่อของเธอมีรถมั้ย?)

*having เป็นรูป present participle ของ V.to have

have got แปลว่า “มี” เหมือนกับ have แต่เป็นทางการน้อยกว่า และนิยมใช้ในภาษาพูดของ British English มี 2 รูป คือ have got และ has got โดยแต่ละรูปจะใช้กับ Pronoun เช่นเดียวกับกรณี have/has ดังต่อไปนี้

Pronoun

รูปเต็ม

รูปย่อ

I

you

he

she

it

they

we

I have got

you have got

he has got

she has got

it has got

they have got

we have got

I’ve got

you’ve got

he’s got

she’s got

it’s got

they’ve got

we’ve got

ประธานเอกพจน์

ประธานพหูพจน์

has got

have got

 

 

ประโยคบอกเล่า

I’ve got a headache.            (ฉันปวดหัว)
He’s got two brothers.            (เขามีน้องชาย 2 คน)
She’s got brown hair.            (เธอมีผมสีน้ำตาล)
We’ve got two dogs and three cats.    (พวกเรามีหมา 2 ตัวกับแมว 1 ตัว)
An insect has got six legs.            (แมลงมี 6 ขา)

 

ประโยคปฏิเสธ

have not got = haven’t got
has not got = hasn’t got
I haven’t got a car.                (ฉันไม่มีรถ)
Helen hasn’t got any children.        (เฮเลนไม่มีลูก)
We haven’t got much time.            (พวกเรามีเวลาไม่มาก)

 

ประโยคคำถาม

have/has + S + got + …?

Have you got a camera?            (คุณมีกล้องถ่ายรูปมั้ย?)
Has she got any brothers or sisters?    (เธอมีน้องชายหรือน้องสาวมั้ย?)
What have you got in your bag?        (ในกระเป๋าคุณมีอะไรเหรอ?)

*การตอบคำถาม have got นั้นสามารถตอบสั้นๆ ได้ว่า “มี” หรือ “ไม่มี” โดยใช้ have/has ให้ถูกต้องตามประธานที่ถูกถาม ดังนี้

Have you got a car?            Yes, I have.
Has she got any children?        No, she hasn’t.

 

IV. Modals

หลายประโยคในภาษาอังกฤษไม่สามารถใช้กริยาแท้ตัวเดียวได้ จำเป็นต้องดึงกริยาอีกตัวเข้ามาเสริม หนึ่งในกริยาเหล่านั้นเราเรียกว่า Modals คำกริยาเหล่านี้ทำให้กริยาแท้มีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการทำให้ประโยคต่างๆ กลายเป็นประโยคคำถาม, ประโยคปฏิเสธ, เหตุการณ์ต่างๆ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หรือการแสดงเงื่อนไขต่างๆ เป็นต้น Modals นั้นมีหลายตัว แต่ละตัวมีความหมายและวิธีการใช้แตกต่างกัน ดังนี้

*modal เป็นกริยาช่วย ต้องตามด้วย V.inf หรือกริยาแท้ที่ไม่มีการผันรูปใดๆ

 

will = จะ

He will call you tomorrow.        (เขาจะโทรหาคุณพรุ่งนี้)
*เราใช้ will you ขึ้นต้นประโยคในการขอให้ใครทำบางสิ่งบางอย่างให้ เช่น
Will you lend me some money?    (ให้ฉันยืมเงินหน่อยได้มั้ย?)

 

would = will ในรูปปดีต

They told me that they probably wouldn't come.
(พวกเขาบอกว่าอาจจะไม่มา)
I would like = I’d like เป็นการพูดความต้องการแบบสุภาพ เช่น
I’d like a drink.            (ฉันอยากได้เครื่องดื่ม)

*เราใช้ would you ขึ้นต้นประโยคในการขอร้องแบบสุภาพ เช่น

Would you show me a passport?    (ขอดูพาสปอร์ตหน่อย)

*เราใช้ would you like ขึ้นต้นประโยคเพื่อเสนอสิ่งของหรือเชื้อเชิญอะไรบางอย่าง เช่น

Would you like some coffee?    (เอากาแฟสักหน่อยมั้ย?)

 

shall

*เราใช้ shall ขึ้นต้นประโยคคำถามเมื่อต้องการเชิญชวนหรือเสนอความเห็นว่า “ดีมั้ย” เช่น

Shall we take a walk?        (เราไปเดินเล่นกันดีมั้ย?)

should = ควร

รูปปฏิเสธคือ should not = shouldn’t

You should clean your teeth twice a day.        (คุณควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง)

*เรามักใช้ think กับ should เช่น

I think you should take a rest.    (ฉันว่าคุณควรจะไปพักผ่อนนะ)

ought to = ควรจะ

It’s a good film. You ought to go and see it.    (หนังดีนะ คุณควรไปดู)

had better = ควรจะ...ดีกว่า

You had better take your umbrella today.    (วันนี้คุณพกร่มไปดีกว่านะ)

can = สามารถ/ทำได้

รูปปฏิเสธคือ can not = can’t

Mike can speak Spanish.        (ไมค์พูดภาษาสเปนได้)

could = สามารถ/ทำได้ (รูปอดีต)

รูปปฏิเสธ could not = couldn’t

Last night I couldn’t sleep.        (เมื่อคืนฉันนอนไม่หลับ)

*เราใช้ can/could ในประโยคคำถามเพื่อการขออนุญาต โดย could จะมีความสุภาพกว่า เช่น

Can I speak to Jenny, please?    (ขอพูดกับเจนนี่ได้มั้ย?)
Could you open the door please?    (ช่วยเปิดประตูให้หน่อยได้มั้ย?)

*เราใช้ can you/could you ขึ้นต้นประโยคขอความช่วยเหลือ โดย could you จะมีความสุภาพกว่า เช่น

Can you send me the file?        (ส่งไฟล์ให้ฉันหน่อยได้มั้ย?)
Could you do me a favor?        (ช่วยฉันหน่อยได้มั้ยคะ?)

*could บางครั้งมีความหมายเกี่ยวกับความเป็นไปได้ เช่น

Playing cards could be more fun.    (เล่นไพ่น่าจะสนุกนะ)

be able to = สามารถ/ทำได้

His dog isn’t able to bark.        (หมาของเขาเห่าไม่เป็น)

may = อาจจะ/น่าจะ

He may be sick.            (เขาอาจจะป่วย)

*เราใช้ may ในประโยคคำถามเพื่อการขออนุญาตได้ เช่น

May I borrow your camera tomorrow?    (พรุ่งนี้ขอยืมกล้องได้มั้ย?)

might = อาจจะ

It might rain.                (ฝนอาจจะตก)

must = ต้อง (การบังคับ/หน้าที่ที่ต้องทำ)

You must take the medicine.    (คุณต้องทานยานะ)

*must not (mustn’t) = ต้องไม่/ห้ามทำ

You must not smoke here.        (ห้ามสูบบุหรี่ตรงนี้)

*เราใช้ must ในกรณีที่เป็นไปได้สูง หรือในความหมาย “แน่ๆ”

She must be rich.            (เธอต้องรวยแน่ๆ)

have to = ต้อง (เรื่องที่ควรทำ/จำเป็นต้องทำ)

I have to go to the dentist tomorrow.    (ฉันต้องไปหาหมอฟันวันพรุ่งนี้)

*เราใช้ V.to do ช่วย เพื่อทำให้ have to เป็นประโยคปฏิเสธหรือประโยคคำถาม เช่น

I don’t have to get up early.        (ฉันไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า)

*รูปอดีตของ must และ have to คือ had to

There was no bus, so we had to walk home.

(ไม่มีรถบัส พวกเราก็เลยต้องเดินกลับบ้าน)

need = จำเป็นต้อง

He needs to win this game to stay in the match.

(เขาจำเป็นต้องชนะเกมนี้เพื่อที่จะยังอยู่ในการแข่งขัน)

*need not (needn’t) = ไม่จำเป็นต้อง

You needn’t go.        (คุณไม่จำเป็นต้องไปก็ได้)

used to = เคย

I used to live in California.        (ฉันเคยอยู่ในแคลิฟอร์เนีย)

would rather = ชอบมากกว่า

I’d rather study history than biology.    (ฉันชอบเรียนประวัติศาสตร์มากกว่าชีววิทยา)


 

Tag :