สารในปฏิกิริยาเคมีบางชนิดจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชัน หรือเรียกว่า ปฏิกิริยานอนรีดอกซ์ แต่สารในปฏิกิริยาบางชนิดจะมีการเปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชัน เรียกว่า ปฏิกิริยารีดอกซ์ ซึ่งประกอบด้วยปฏิกิริยาย่อย 2 ปฏิกิริยา ได้แก่ ปฏิกิริยาออกซิเดชัน และปฏิกิริยารีดักชัน
ปฏิกิริยาที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชันของธาตุที่อยู่ในสารประกอบในสมการเคมี เรียกว่า ปฏิกิริยานอนรีดอกซ์ (non-redox reaction) ตัวอย่างเช่น
ปฏิกิริยาการตกตะกอน เช่น
Pb(NO3)2 + Na2SO4 Pb -------> SO4 + 2NaNO3
จากสมการ จะเห็นว่า ธาตุทุกตัวที่อยู่ในสมการไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชัน
ปฏิกิริยาระหว่างกรดกับเบส เช่น
HCl + NaOH -------> NaCl + H2O
จากสมการ จะเห็นว่า ธาตุทุกตัวที่อยู่ในสมการไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชัน
ส่วนปฏิกิริยาที่มีการเปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชันของธาตุที่อยู่ในสารประกอบในสมการเคมี หรือปฏิกิริยาที่มีการรับและการจ่ายอิเล็กตรอน เรียกว่า ปฏิกิริยารีดอกซ์ (redox reaction) ตัวอย่างเช่น
+2 0 0 +2
Cu2+ + Zn -------> Cu + Zn2+
จากสมการ จะเห็นว่า
Cu2+ รับ 2 อิเล็กตรอน กลายเป็น Cu เลขออกซิเดชันของ Cu2+ จึงเปลี่ยนจาก +2 เป็น 0
Zn จ่าย 2 อิเล็กตรอน กลายเป็น Zn2+ เลขออกซิเดชันของ Zn จึงเปลี่ยนจาก 0 เป็น +2
ปฏิกิริยารีดอกซ์ แบ่งออกเป็น 2 ปฏิกิริยาย่อยได้ดังนี้
1. ปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation reaction) คือ ปฏิกิริยาที่มีการจ่ายอิเล็กตรอนเป็นปฏิกิริยาที่มีเลขออกซิเดชันเพิ่มขึ้น ธาตุที่ทำหน้าที่จ่ายอิเล็กตรอน เรียกว่า ตัวรีดิวซ์ (reducing agent) เช่น
Zn -------> Zn2+ + 2e-
ตัวรีดิวซ์
2. ปฏิกิริยารีดักชัน (reduction reaction) คือ ปฏิกิริยาที่มีการรับอิเล็กตรอน เป็นปฏิกิริยาที่มีเลขออกซิเดชันลดลง ธาตุที่ทำหน้าที่รับอิเล็กตรอน เรียกว่า ตัวออกซิไดส์ (oxidizing agent) เช่น
Cu2+ + 2e- --------> Cu
ตัวออกซิไดส์
ข้อสังเกตเกี่ยวกับปฏิกิริยารีดอกซ์ มีดังนี้
1. สมการของปฏิกิริยารีดอกซ์ที่ดุลแล้วจะไม่มีอิเล็กตรอนแสดงอยู่ เพราะอิเล็กตรอนที่ให้และรับจะมีจำนวนเท่ากัน
2. การตรวจสอบว่าปฏิกิริยานั้นเป็นปฏิกิริยารีดอกซ์หรือไม่ ให้สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของเลขออกซิเดชัน ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชันจะจัดว่าเป็นปฏิกิริยารีดอกซ์
3. ปฏิกิริยาที่มีธาตุอิสระอย่างน้อย 1 ธาตุ อยู่ในสมการ ปฏิกิริยานั้นจัดเป็นปฏิกิริยารีดอกซ์เสมอ เช่น
ธาตุอิสระ
2NO (g) + O2 (g) -------> 2NO2 (g)
CS2 (s) + 3Cl2 (g) -------> CCl4 (l) + S2Cl2 (l)
CH4 (g) + 2O2 (g) -------> CO2 (g) + 2H2O (g)
4. ปฏิกิริยารีดอกซ์บางปฏิกิริยาอาจมีการจ่ายอิเล็กตรอนได้มากกว่า 1 ธาตุ หรือรับอิเล็กตรอนได้มากกว่า 1 ธาตุ เช่น
Cu2S + 14HNO3 ---------> 2Cu(NO3)2 + H2SO4 + 6H2O + 10NO2
จากสมการ จะเห็นว่า จะมีธาตุ 2 ตัว คือ Cu และ S ที่ทำหน้าที่เป็นตัวรีดิวซ์ ดังนี้
- Cu ใน Cu2S มีเลขออกซิเดชันเป็น +1 ส่วน Cu ใน Cu(NO3)2 มีเลขออกซิเดชันเป็น +2 แสดงว่า Cu ใน Cu2S มีการจ่าย 1 อิเล็กตรอน
- S ใน Cu2S มีเลขออกซิเดชันเป็น -2 ส่วน S ใน H2SO4 มีเลขออกซิเดชันเป็น +6 แสดงว่า S ใน Cu2S มีการจ่าย 8 อิเล็กตรอน
5. ปฏิกิริยารีดอกซ์บางปฏิกิริยาจะมีสารตัวเดียวกันเป็นทั้งตัวรีดิวซ์และตัวออกซิไดส์ เรียกว่า ปฏิกิริยาออโตรีดอกซ์ (auto – redox reaction) เช่น
6Cl2 + 6Ba(OH)2 -------> 5BaCl2 + Ba(ClO3)2 + 6H2O
จากสมการ จะเห็นว่า Cl ทำหน้าที่ทั้งจ่ายและรับอิเล็กตรอน
2H2O2 -------> 2H2O + O2
จากสมการ จะเห็นว่า O ทำหน้าที่ทั้งจ่ายและรับอิเล็กตรอน
3Au --------> 2Au + Au3+
จากสมการ จะเห็นว่า Au ทำหน้าที่ทั้งจ่ายและรับอิเล็กตรอน
ปิตุพร พิมพาเพชร