วิวัฒนาการของตารางธาตุ
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
15 พ.ค. 67
 | 420 views



เนื่องจากมีการค้นพบธาตุจำนวนมาก นักวิทยาศาสตร์จึงได้จำแนกและจัดหมวดหมู่ของธาตุที่ค้นพบ มีวิวัฒนาการของตารางธาตุเริ่มตั้งแต่กฎชุดสาม กฎออกเตต กฎพิริออดิก ตารางธาตุของเมนเดเลเอฟ จนไปถึงตารางธาตุที่ใช้ในปัจจุบัน ดังนี้

 

โยฮันน์ เดอเบอไรเนอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการจัดเรียงตารางธาตุ โดยเสนอว่า “เมื่อเรียงธาตุตามมวลอะตอมจากน้อยไปหามาก มวลอะตอมของธาตุที่อยู่ตรงกลางจะเป็นค่าเฉลี่ยของมวลอะตอมของธาตุตัวบนและตัวล่าง” ซึ่งเรียกการจัดแบบนี้ว่า กฎชุดสาม ตัวอย่างเช่น

ธาตุ

มวลอะตอม

ธาตุ

มวลอะตอม

ธาตุ

มวลอะตอม

ลิเทียม (Li)

6.94

แคลเซียม (Ca)

40.08

คลอรีน (Cl)

35.45

โซเดียม (Na)

22.99

สตรอนเซียม (Sr)

87.62

โบรมีน (Br)

79.90

โพแทสเซียม (K)

39.10

แบเรียม (Ba)

137.33

ไอโอดีน (I)

126.90

 

ตารางธาตุที่เดอเบอไรเนอร์เสนอนั้น ไม่สามารถอธิบายการจัดธาตุให้เป็นไปตามกฎชุดสามได้ทั้งหมด ดังนั้น กฎนี้จึงไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก

 

จอห์น นิวแลนด์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้นำเสนอกฎออกเตต (Law of octaves) ซึ่งมีใจความสำคัญว่า “ถ้านำธาตุ 8 ธาตุ มาจัดเรียงตามมวลจากน้อยไปหามาก ธาตุตัวที่ 8 จะมีสมบัติคล้ายคลึงกับธาตุตัวที่ 1 เสมอ” (ไม่รวมธาตุไฮโดรเจนและฮีเลียม) ซึ่งจัดเรียงได้ ดังนี้

 

        Li    Be    B    C    N    O    F

        Na    Ca    Al    Si    P    S    Cl

        K    Mg

 

แต่ตารางธาตุของนิวแลนด์ใช้อธิบายได้เฉพาะธาตุที่มีมวลอะตอมน้อย ๆ เท่านั้น เมื่อธาตุมีมวลอะตอมมากขึ้นจะไม่สามารถจัดเรียงตามที่นิวแลนด์เสนอได้ ทำให้แนวคิดของนิวแลนด์ไม่เป็นที่ยอมรับในเวลาต่อมา

 

ดิมิทรี อิวาโนวิช เมนเดเลเอฟ นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย และยูลิอุส โลทาร์ ไมเออร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันได้ศึกษาเกี่ยวกับการจัดเรียงธาตุ ซึ่งทั้งสองได้เสอนแนวคิดที่คล้ายกันว่า “เมื่อนำธาตุมาจัดเรียงลำดับตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น จะได้กลุ่มของธาตุที่มีสมบัติทางเคมีและสมบัติทางกายภาพเป็นชุด ๆ” โดยต่อมาได้เรียกแนวคิดนี้ว่า กฎพิริออดิก (periodic law) ซึ่งนับว่าเป็นก้าวแรกของตารางธาตุในสมัยปัจจุบัน

 

ทั้งนี้ผลงานของเมนเดเลเอฟได้รับการยอมรับมากกว่าผลงานของไมเออร์ เพราะผลงานของเมเดเลเอฟมีการพัฒนาและเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เมนเดเลเอฟได้รับเกียรติโดยตั้งชื่อเขาเป็นชื่อตารางธาตุว่า ตารางธาตุของเมนเดเลเอฟ (Periodic of Mendeleev)

 

ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดผลงานหนึ่งของเมนเดเลเอฟ คือ การทำนายสมบัติของธาตุที่ในสมัยนั้นยังไม่ได้ถูกค้นพบ เช่น ธาตุเอคา - ซิลิคอน (ธาตุที่อยู่ใต้ซิลิคอน) ซึ่งในเวลาต่อมาธาตุนี้ถูกค้นพบและมีชื่อเรียกว่า ธาตุเจอร์เมเนียม (Ge) โดยสมบัติของธาตุเอคา – ซิลิคอน ที่เมนเดเลเอฟได้ทำนายไว้มีความใกล้เคียงกับสมบัติของธาตุเจอร์เมเนียมที่ค้นพบอย่างมาก

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเมนเดเลเอฟจะสามารถอธิบายสิ่งต่าง ๆ ในตารางธาตุได้อย่างมากมาย แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใดจึงต้องจัดเรียงธาตุตามมวลอะตอม

 

เฮนรี โมสลีย์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษศึกษาเกี่ยวกับเลขอะตอม และพัฒนากฎพิริออดิกของเมนเดเลเอฟใหม่ว่า “ควรจะจัดเรียงธาตุตามเลขอะตอม เนื่องจากสมบัติต่าง ๆ ของธาตุมีความสัมพันธ์กับโปรตอนในนิวเคลียสหรือเลขอะตอมมากกว่ามวลอะตอม” นอกจากนี้โมสลีย์ยังได้ทำนายไว้ด้วยว่า ต้องเผื่อช่องว่างในตารางธาตุเพื่อรอการค้นพบธาตุใหม่ในอนาคต ดังนั้น ตารางธาตุที่ใช้กันในปัจจุบันจึงได้รับการปรับปรุงมาจากตารางธาตุของเมนเดเลเอฟ โดยการเรียงธาตุตามลำดับของเลขอะตอมจากน้อยไปหามากแทนการเรียงลำดับธาตุตามมวลอะตอม

 

 

 

ตารางธาตุที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ธาตุที่อยู่ในแนวตั้ง เรียกว่า หมู่ (group) แบ่งออกได้ทั้งหมด 18 แถว และธาตุที่อยู่ในแนวนอน เรียกว่า คาบ (periods) แบ่งออกเป็น 7 คาบ ดังนี้

 

หมู่ (group)

1. แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ธาตุกลุ่ม A เรียกว่า ธาตุเรพรีเซนเททีฟ (representative element) และธาตุกลุ่ม B เรียกว่า ธาตุแทรนซิชัน (transition element)

2. ตามระบบ IUPAC ธาตุในกลุ่ม A ประกอบด้วยหมู่ 1, 2, 13-18 และธาตุในกลุ่ม B ประกอบด้วยหมู่ 3 – 12

3. ตามระบบของสหรัฐอเมริกา ธาตุในกลุ่ม A ประกอบด้วยหมู่ 1A – 8A และธาตุในกลุ่ม B ประกอบด้วยหมู่ 1B – 8B (โดยเรียงจาก 3B, 4B, 5B, 6B ,7B, 8B, 1B และ 2B ตามลำดับ)

 

คาบ (periods)

1. คาบที่ 1 มีธาตุ 2 ธาตุ

2. คาบที่ 2 และ 3 มีธาตุคาบละ 8 ธาตุ

3. คาบที่ 4 และ 5 มีธาตุคาบละ 18 ธาตุ

4. คาบที่ 6 มีธาตุทั้งหมด 32 ธาตุ โดยแบ่งเป็นธาตุกลุ่มแรก ซึ่งประกอบด้วยธาตุกลุ่ม A และ B จำนวน 18 ธาตุ และธาตุในกลุ่มธาตุแลนทานอยด์จำนวน 14 ธาตุ

5. คาบที่ 7 มีธาตุทั้งหมด 32 ธาตุ โดยแบ่งเป็นธาตุกลุ่มแรก ซึ่งประกอบด้วยธาตุกลุ่ม A และ B จำนวน 18 ธาตุ และธาตุในกลุ่มธาตุแอกทินอยด์จำนวน 14 ธาตุ

 

เมื่อพิจารณาตามการจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับชั้นพลังงานย่อยของธาตุ จะพบว่า ในระดับชั้นพลังงานย่อยที่มีพลังงานสูงสุดสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้

 

 

การที่นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาและค้นพบธาตุเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยที่ไม่ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการตั้งชื่อและสัญลักษณ์ของธาตุที่แน่นอน จึงทำให้ในบางครั้งนักวิทยาศาสตร์ได้เสนอธาตุที่ค้นพบใหม่เป็นธาตุตัวเดียวกัน แต่มีการเรียกชื่อที่ต่างกัน ดังนั้น องค์กรนานาชาติทางเคมี (IUPAC) จึงกำหนดข้อตกลงในการเรียกชื่อธาตุที่มีเลขอะตอมตั้งแต่ 100 ขึ้นไป โดยให้อ่านชื่อธาตุตามตัวเลขภาษาละติน ซึ่งลงท้ายเสียงของธาตุด้วยเอียม (-ium) ยกเว้นหมู่ 7A ลงท้ายเสียงของธาตุด้วยซีน (-ine) และหมู่ 8A ให้ลงท้ายเสียงของธาตุด้วยซัน (-on)

 

ปิตุพร พิมพาเพชร