มนุษย์กับทรัพยากรธรรมชาติ
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
13 พ.ค. 67
 | 471 views



สิ่งแวดล้อม เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด การใช้ทรัพยากรอย่างไม่เห็นคุณค่าจะส่งผลให้ปริมาณของทรัพยากรธรรมชาติลดลง และก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอย่างยั้งยืน ซึ่งจะต้องมีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ 

 

ทรัพยากรธรรมชาติ (natural resources) หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ตามธรรมชาติ หรือที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ ที่มนุษย์ได้นำมาใช้ประโยชน์ เช่น อากาศ น้ำ ดิน แสงอาทิตย์ ป่าไม้ และแร่ธาตุ เป็นต้น

 

ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ

แบ่งตามลักษณะของการใช้ประโยชน์เป็น 3 ประเภท คือ

1. ทรัพยากรทางธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่หมดสิ้น เป็นทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีปริมาณมากมี อยู่ทุกหนทุกแห่งของโลก เช่น น้ำ อากาศ และแสงอาทิตย์ ถึงแม้ว่าทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้จะมีมาก แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังและต้องดูและรักษา หากไม่ดูแลรักษาอาจทำให้ทรัพยากรเหล่านั้นเสื่อมสภาพได้ และนำมาใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่

2. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วเกิดทดแทนได้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่เมื่อนำมาใช้ประโยชน์แล้วสามารถสามารถเกิดทดแทนได้ เช่น พืช สัตว์ ป่าไม้ ดิน เป็นต้น บางชนิดใช้เวลาสั้นในการสร้างเช่น พืช สัตว์ บางชนิดใช้เวลานานในการเกิดทดแทน เช่น ดิน

3. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป เป็นทรัพยากรที่มีปริมาณจำกัด แทบจะไม่สามารถทดแทนกันได้ หากมีการใช้ประโยชน์ในปริมาณมากเป็นเวลานานอาจทำให้หมดไป เช่น ปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ ถ่านหินและแร่ เป็นต้น 

 

ทรัพยากรน้ำ

น้ำมีประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของโลก โดยร้อยละ 97.41 เป็นน้ำเค็มในมหาสมุทร และร้อยละ 2.59 เป็นน้ำจืด แต่น้ำจืดที่นำมาใช้ประโยชน์ได้มีเพียงร้อยละ 0.014 เท่านั้น เนื่องจากเป็นน้ำแข็งถึงร้อยละ 1.984 และอีกร้อยละ 0.592 เป็นน้ำใต้ดิน

น้ำที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์ได้ มาจากแหล่งใหญ่ๆ 3 แหล่งด้วยกัน คือ

- หยาดน้ำฟ้า (precipitation) เป็นน้ำที่อยู่ในบรรยากาศ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสถานะ จะตกลงมาสู่พื้นโลก เช่น ฝน น้ำค้าง หิมะ ลูกเห็บ เมฆ หมอก ไอน้ำ เป็นต้น

- น้ำผิวดิน (surface water) เป็นน้ำที่อยู่บนผิวดินโดยทั่วไป เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบ ทะเล มหาสมุทร เป็นต้น

- น้ำใต้ดิน (ground water) เป็นน้ำที่อยู่ใต้ระดับใต้ดินลงไป ที่มนุษย์ขุดและสูบขึ้นมาใช้ เช่น น้ำบ่อ น้ำบาดาล เป็นต้น

มนุษย์ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ใช้ในการบริโภคและการอุปโภค ใช้เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ใช้ในการคมนาคมขนส่ง ใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น

มลพิษของน้ำ (water pollution) คือ ภาวะของน้ำที่มีสารมลพิษปนเปื้อนในระดับที่ทำให้คุณภาพน้ำเปลี่ยนไป จนมนุษย์และสิ่งมีชีวิตไม่สามารถใช้ประโยชน์จากน้ำได้

 

แหล่งที่มาของน้ำเสีย

1. จากธรรมชาติ อันเนื่องมาจากสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ตายทับถมในน้ำ จากนั้น จุลินทรีย์มีการใช้ออกชิเจนในการย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิต เป็นผลให้ออกชิเจนในน้ำนั้นลดลง หรือเกิดจากกระบวนการชะล้างพังทลายของดิน ทำให้ตะกอนดินถูกพัดพาลงในน้ำ ทำให้น้ำขุ่น สิ่งมีชีวิตต่างๆ ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ทำให้แหล่งน้ำตื้นเขินอีกด้วย

2. จากแหล่งชุมชน อันได้แก่น้ำเสียที่มาจากแหล่งพักอาศัย และสถานประกอบการต่างๆ ในชุมชน น้ำเสียจากแหล่งต่างๆ เหล่านี้ ส่วนใหญ่จะมีสารอินทรีย์ เชื้อโรค และสารเคมีเป็นองค์ประกอบ

3. จากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นน้ำเสียที่เกิดจากกระบวนการต่างๆ ในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น

- น้ำจากการชะล้างสิ่งสกปรกในเครื่องจักร พื้นโรงงาน

- น้ำจากกระบวนการผลิตสารเคมีที่เป็นอันตรายเจือปนอยู่ เช่น สารปรอท ตะกั่ว แคดเมียม แมงกานีส โครเมียม และน้ำมัน สารพิษเหล่านี้เมื่อปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ จะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ และทำให้เกิดการสะสมสารพิษในห่วงโซ่อาหารได้

- น้ำจากอุตสาหกรรมผลิตอาหาร จะมีสารอินทรีย์เจือปนอยู่สูง เมื่อปล่อยลงสู่แหล่งน้ำทำให้แหล่งน้ำเน่าเสีย มีกลิ่นเหม็นอับอันเนื่องมาจากกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในน้ำ และบางครั้งอาจทำให้แหล่งน้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นด้วย

4. จากการเกษตรและอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ เป็นน้ำเสียที่เกิดจากการปนเปื้อนของสารเคมี วัตถุมีพิษที่ใช้ในการป้องกันศัตรูพืชซึ่งจะตกค้างอยู่ตาม ดิน  อากาศ และในผลผลิต เมื่อฝนตก สารเหล่านี้จะชะล้างลงสู้แหล่งน้ำจนเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำได้ นอกจากนี้ การเลี้ยงสัตว์พวกสุกร ไก่  ปลา และกุ้ง ยังเป็นต้นกำเนิดของน้ำเสียที่เกิดจากการชะล้างคอกสัตว์ หรือบ่อน้ำที่มีสารอินทรีย์เจือปนอยู่สูง

5. จากการทำเหมืองแร่ประเภทต่างๆ เช่น การทำเหมืองแร่ดีบุก พลวง และเหมืองพลอย ต้องมีการขุดเจาะดินทำให้เกิดตะกอนดิน และทำให้น้ำในแหล่งน้ำขุ่น นอกจากนี้ ยังมีสารปนเปื้อนของโลหะหนัก เช่น ปรอท ตะกั่ว แคดเมียม ลงสู่น้ำ และอาจทำให้น้ำตื้นเขินได้

 

การตรวจสอบมลพิษของน้ำ

ที่นิยมมี 2 วิธี คือ

1. การหาปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำ หรือค่าดีโอ (DO; dissolved oxygen) โดยปกติแล้วพบว่า น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติโดยทั่วไปที่มีคุณภาพดี จะมีค่าดีโอประมาณ 5-7 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ถ้าแหล่งน้ำใดวัดค่าดีโอได้ต่ำกว่า 3 มิลลิกรัมต่อลิตร ก็แสดงว่าน้ำในแหล่งน้ำนั้นเป็นน้ำเสีย

2. การหาค่าบีโอดี (BOD; biochemical oxygen demand) เป็นวิธีหาปริมาณ O2 ที่แบคทีเรีย ต้องการ เพื่อใช้ในปฏิกิริยาย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำ ค่า BOD บอกถึงคุณลักษณะของน้ำว่ามีสารอินทรีย์ปนอยู่มากหรือน้อยเพียงใด ถ้ามีสารอินทรีย์ปนอยู่มาก ค่า BOD จะมาก และในทำนองเดียวกัน ถ้าสารอินทรีย์ปนอยู่น้อยค่า BOD ก็จะน้อย

3. การหาค่าซีโอดี (COD; chemical oxygen demand) เป็นวิธีหาปริมาณออกซิเจนที่ใช้ในการทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ในน้ำเสีย ทั้งที่จุลินทรีย์ย่อยสลายได้และย่อยสลายไม่ได้ วิธีนี้ใช้สารเคมีที่เป็นตัวออกซิไดซ์ ค่าซีโอดีสูงกว่าค่าบีโอดีเสมอ (COD > BOD)

 

 

การจัดการทรัพยากรน้ำ

หมายถึง การป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับน้ำ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดำรงชีพของมนุษย์ ดังนั้น จึงควรมีการจัดการทรัพยากรน้ำที่เหมาะสมและถูกวิธี และปลูกจิตสำนึกในการใช้น้ำอย่างมีคุณค่า เช่น การประหยัด การใช้น้ำทุกรูปแบบในชีวิตประจำวัน

1. วางแผนการใช้น้ำ เพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดฤดูกาล โดยการกักเก็บน้ำ เช่น การขุดบ่อ ขุดสระ การทำแท็งก์น้ำ การกักเก็บน้ำฝนเพื่อนำไปใช้ในยามขาดแคลน

2. นำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ กิจกรรมบางอย่างอาจไม่จำเป็นต้องใช้น้ำคุณภาพดีมากนัก เช่น การชะล้างภาชนะในครัวเรือน หรือจากการชักผ้าน้ำสุดท้าย อาจนำมารดต้นไม้ได้

3. แก้ไขมลพิษของน้ำ ในกรณีที่น้ำนั้นเกิดมลพิษ รูปแบบของการจัดการอาจใช้วิธีการแยก หรือทำลายสิ่งสกปรกต่างๆ ทั้งที่อยู่ในรูปของสารละลาย และอยู่ในรูปของสารที่ไม่ละลายน้ำให้หมดไป และลดปริมาณสารพิษลง ด้วยวิธีการบำบัดน้ำเสีย ให้เป็นน้ำที่มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ

เช่น การบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีชีวภาพ เป็นการใช้จุลินทรีย์ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ที่ปนอยู่ในน้ำเสีย โดยเฉพาะจุลินทรีย์กลุ่มที่ใช้ออกชิเจน โดยทำควบคู่ไปกับการเติมออกซิเจนลงในน้ำด้วย เช่น การทำกังหันน้ำ นอกจากนี้ อาจใช้พืชน้ำบำบัดน้ำเสียได้ด้วย โดยพืชน้ำจะดูดสารอินทรีย์เพื่อใช้ในการเจริญเติบโต เช่น ผักตบชวา ผักกระเฉด กกสามเหลี่ยม ธูปฤาษี หญ้าแฝก และบัว เป็นต้น

 

 

ทรัพยากรดิน

ดินเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วสามารถเกิดทดแทนได้ เป็นทรัพยากรที่สัมพันธ์กับทรัพยากรชนิดอื่น เช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ สัตว์ป่า มนุษย์ใช้ดินในการเกษตร การคมนาคม แต่การสร้างดินต้องใช้เวลานานถึง 200-1,000 ปี องค์ประกอบของดินประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ 4 ส่วน คือ อากาศ 25% น้ำ 25% แร่ธาตุ 45% และอินทรีย์วัตถุ 5%

การแบ่งชั้นหน้าดิน สามารถแบ่งได้ตามลักษณะของดิน เช่น สีดิน การระบายน้ำของดิน ระดับความหนาของชั้นดิน แบ่งเป็น

1. ชั้นผิวดิน เป็นชั้นของอินทรีย์วัตถุ ที่มีใบไม้กิ่งไม้ที่เพิ่งร่วงหล่นลงมาเริ่มผุพังบ้างแล้ว ดินชั้นนี้เหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืช

2. ดินชั้นบน เป็นชั้นของฮิวมัส แร่ธาตุบางชนิด ซากพืช ซากสัตว์ รากไม้ ซึ่งผุพังแล้วบางส่วน เป็นชั้นดินที่ถูกชะล้าง

3. ดินชั้นล่าง เป็นชั้นที่มีการทับถม ดินละเอียด มีรากไม้

4. ชั้นวัตถุต้นกำเนิดดิน เป็นขั้นที่เกิดจากการสลายตัวผุพัง ทั้งทางกายภาพและชีวเคมีของหินชนิดต่างๆ

5. ชั้นหินพื้น ประกอบด้วยหินพื้นที่เป็นหินประเภทต่างๆ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเปลือกโลก

 

 

สาเหตุของมลพิษทางดิน

1. การทิ้งสิ่งของต่างๆ ลงในดิน เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสะสมของสารเคมีและสารพิษในดิน ทำให้คุณสมบัติของดินเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่เกิดจากการทิ้งสิ่งของเหลือใช้จากบ้าน เช่น ขยะมูลฝอย พลาสติก โฟม เศษแก้ว เศษโลหะ แบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย หลอดไฟ น้ำมัน เป็นต้น

สิ่งของเหล่านี้บางชนิดจุลินทรีย์ย่อยได้ บางชนิดย่อยไม่ได้ เมื่อสะสมเป็นเวลานาน ทำให้สารพิษพวก ปรอท ตะกั่ว โลหะหนักอื่นๆ ที่ขยะรั่วซึมลงดินได้ ซึ่งคุณสมบัติชองดินมีสมบัติเป็นประจุสามารถดูดซับสารพิษ และสามารถถ่ายทอดไปตามห่วงโซ่อาหารได้

2. การใช้สารเคมีทางการเกษตร เช่น ปุ๋ย และยาปราบศัตรูพืช สารเหล่านี้เมื่อใช้ในระยะเวลานานจะมีสารตกค้างในดิน ซึ่งบางชนิดสามารถย่อยสลายได้ บางชนิดย่อยสลายไม่ได้ ทำให้สารพิษสามารถถ่ายทอดไปตามห่วงโซ่อาหารได้

3. สารกัมมันตรังสี ตามเครื่องมือทางการแพทย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในการทดลองระเบิดปรมาณูเป็นอันตรายมาก และสามารถถ่ายทอดไปตามห่วงโซ่อาหารได้

 

ปัญหาการเสื่อมโทรมของดิน

1. การพังทลายของดิน เกิดจากธรรมชาติ เช่น การตกกระทบของฝน การกัดเซาะของน้ำไหลบ่า การดัดเซาะของคลื่น การพัดพาของลม ภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรของมนุษย์ เช่น การตัดไม่ทำลายป่า การเพาะปลูกไม่ถูกวิธี การปรับดินเพื่อปรับระดับดิน เป็นต้น

2. ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การปลูกพืชชนิดเดียวกันเป็นเวลานานและขาดการบำรุง การพังทลายของดิน การที่ดินชั้นบนที่มีธาตุอาหารถูกพัดพาออกจากพื้นที่โดยการกระทำของน้ำหรือลม การปลูกพืชที่โตเร็ว เช่น ยูคาลิปตัส มันสำปะหลัง การขุดหน้าดินไปขาย เป็นต้น

3. ดินมีสมบัติไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก ในบางพื้นที่สมบัติของดินมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ดินกรด หรือดินเปรี้ยวจัด ดินเค็ม หรือเกิดจากหินเค็มที่อยู่ใต้ดิน หรือดินที่มีน้ำทะเลท่วมขัง ดินที่มีดินลูกรังปนอยู่มาก พื้นที่ลาดชัน ดินเหล่านี้ไม่เหมาะสมต่อการปลูก จึงต้องมีการปรับปรุงดินก่อนปลูก

 

การจัดการ การแก้ปัญหามลพิษทางดิน และปัญหาเสื่อมโทรมของดิน

1. การอนุรักษ์ดินเป็นการใช้ประโยชน์จากดินอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ เป็นการจัดการและแก้ปัญหามลพิษทางดินและการเสื่อมโทรมของดิน

2. การป้องกันการพังทลายของหน้าดิน ทำโดยการปลูกต้นไม้ และสงวนรักป่าเพื่อให้มีสิ่งปกคลุมดินชะลอความรุนแรงของกระแสน้ำ และกระแสลมที่มาปะทะผิวดิน ซึ่งมีแนวทางในการจัดการ ดังนี้

- การปลูกพืชแบบขั้นบันไดตามบริเวณไหล่เขา เพื่อช่วยลดอัตราความเร็ว และลดปริมาณการไหลบ่าของน้ำ ซึ่งป้องกันและลดปริมาณการชะล้างหน้าดิน ช่วยให้การพังทลายของดินลดลงไปได้

- การปลูกพืชคลุมดิน เช่น หญ้าแฝก และพืชช่วยปรับปรุงดิน เช่น พืชวงศ์ถั่วช่วยเพิ่มธาตุอาหาร และเพิ่มความชื้นในดิน เป็นต้น

3. การเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ทำโดยการปลูกพืชหมุนเวียน เพราะการปลูกพืชชนิดเดียวช้ำซากบนที่ดินเดิมจะทำให้เกิดดินจืด และปริมาณธาตุอาหารในดินลดลง เป็นการทำลายความอุดมสมบูรณ์ของดิน และยังเอื้อต่อการระบาดของโรค และศัตรูพืชอีกด้วย การปลูกพืชหมุนเวียนในพื้นที่แปลงเดียวจะช่วยลดปัญหาความเสื่อมโทรมของดินและศัตรูพืชด้วย 

 

ทรัพยากรอากาศ

อากาศเป็นของผสมที่ประกอบด้วยส่วนประกอบหลักที่สำคัญ ได้แก่ ไนโตรเจนร้อยละ 78.09 ออกซิเจนร้อยละ 20.94 ก๊าซเฉื่อย ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ อาร์กอนร้อยละ 0.93 คาร์บอนไดออกไซด์ร้อยละ 0.03 และส่วนผสมของก๊าซฮีเลียม ไฮโดรเจน นีออน คริปตอน ซีนอน โอโซน มีเทน ไอน้ำ และสิ่งอื่นรวมกันอีกร้อยละ 0.01 ก๊าซออกซิเจนที่พอเหมาะแก่การดำรงชีวิตจะอยู่สูงจากพื้นโลก 5-6 กิโลเมตร

 

มลพิษทางอากาศ (air pollution) หมายถึง การที่อากาศหรือสารเคมี หรือมลพิษสารที่ปนเปื้อนอยู่ในบรรยากาศในปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ได้

 

สาเหตุการเกิดมลพิษทางอากาศ

1. มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดจากการสลายตัวของซากพืช ซากสัตว์ โดยการย่อยสลายของจุลินทรีย์ทำให้เกิดแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ซึ่งก่อให้เกิดกลิ่นเน่าเหม็น และพบว่าการที่น้ำท่วมขังไร่นาเป็นเวลานาน จะก่อให้เกิดแก๊สมีเทน (CH4) ซึ่งเป็นแก๊สที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์เรือนกระจก หรือการเกิดภูเขาไฟระเบิด อาจทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้

2. มลพิษทางอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ หรือกิจกรรมการดำรงชีวิตจากการคมนาคมต่างๆ มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแล้วปล่อยก๊าซพิษออกมา เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOX) เป็นต้น การเผาขยะก็ก่อให้เกิดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง หรือสารเคมีทางการเกษตรจะทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของสารเคมี รวมทั้งการที่โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยสารพิษออกมาเจือปนในอากาศ

 

สารมลพิษที่ปนเปื้อนในอากาศ

1. พวกที่เป็นอนุภาคของแข็ง เช่น ฝุ่นละอองควัน (อนุภาคของคาร์บอนที่มีขนาดเล็กมากเกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง) อนุภาคของโลหะต่างๆ การระเบิดภูเขาไฟ การเกิดพายุ หอบฝุ่นละอองมา

2. พวกที่เป็นก๊าซ เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ออกไซด์ของไนโตรเจน และไฮโดรคาร์บอน

3. พวกที่เป็นของเหลว เช่น ละอองของกำมะถัน

4. สารกัมมันตรังสี

5. สารที่มีชีวิต เช่น ละอองเกสรดอกไม้ จุลินทรีย์ต่างๆ แมลงและชิ้นส่วนของแมลง

 

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมลพิษทางอากาศ

1. ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ มลพิษทางอากาศจะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดต่ำลง มีฝนสภาพเป็นกรด ทำให้พืชตายหรือเจริญเติบโตไม่ดี ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรลดลง ทำลายสิ่งก่อสร้างจำพวกเหล็กคอนกรีต และหินอ่อนให้เสื่อมค่าเร็วกว่าปกติ มลพิษทางอากาศยังเป็นอุปสรรคต่อการคมนาคม เช่น ม่านหมอกควันทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมหาศาล 

2. ผลกระทบด้านสุขภาพอนามัย ประชากรที่อาศัยในบริเวณที่มีมลพิษทางอากาศจะมีผลกระทบต่อทางร่างกาย ทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหัวใจ โรคมะเร็งปอด หลอดลมอักเสบ ความจำเสื่อม สายตาพร่ามัว 

3. ผลกระทบต่อพืช ทำให้การเจริญเติบโตของพืชช้าลง เพราะเขม่าควันเกาะที่ผิวใบ และทำให้ปากใบพืชอุดตัน ดูดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ได้น้อยลง ทำให้ประสิทธิภาพการสังเคราะห์แสงลดลง นอกจากนี้ มลพิษทางอากาศยังทำให้สภาพอากาศมืดครึ้มแสงส่องมาน้อยกว่าปกติ

 

การจัดการ และแนวทางในการแก้ไขมลพิษทางอากาศ

1. กำหนดนโยบายและวางแผนควบคุมพิษทางอากาศ โดยการวางผังเมืองให้เหมาะสมตามสภาพท้องถิ่น และกิจกรรมของชุมชน โดยแบ่งออกเป็นเขตต่างๆ ไม่ปะปนกัน เช่น เขตการค้า เขตอุตสาหกรรม และเขตที่อยู่อาศัย การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ต้องอยู่ในมาตรฐาน และถูกต้องตามหลักวิชาการ

2. ให้การศึกษาและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ โดยให้ความรู้ ชี้แจงประชาชน นักเรียน นักศึกษา เจ้าของกิจการต่างๆ ให้ตระหนักถึงมลพิษทางอากาศ และให้ความร่วมมือป้องกัน แก้ไข หรือลดปริมาณมลพิษทางอากาศ

3. ปรับปรุงสภาพการจราจร โดยเฉพาะเร่งรัดพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เพื่อแก้ไขปัญหาจราจร และลดปัญหามลพิษทางอากาศ สนับสนุนให้รถประจำทางใช้แก๊สธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เพื่อช่วยลดควันดำและแก๊สมลพิษต่างๆ ควบคุมการเพิ่มจำนวนยานพาหนะส่วนบุคคล

4. ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง และออกกฎบังคับให้ใช้เฉพาะน้ำมันที่ช่วยลดมลพิษทางอากาศ เช่น ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเบนซินเพื่อลดการปล่อยสารพิษ และสารประกอบไฮโดรคาร์บอน การใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว 

5. จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบและบำรุงรักษายานพาหนะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการนำยานพาหนะมาตรวจสอบ และแก้ไขบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพดี ก็จะสามารถลดการก่อสารมลพิษจากยานพาหนะได้บางส่วน

 

ทรัพยากรป่าไม้

ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทที่ใช้แล้วเกิดทดแทนได้ อาจเรียกว่า ทรัพยากรธรรมชาติหมุนเวียน เพราะเมื่อนำมาใช้แล้วสามารถเกิดขึ้นทดแทนได้ถ้ามีการบำรุงรักษาให้ดี และเป็นระบบนิเวศที่มีกลุ่มสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์อาศัยอยู่ร่วมกัน นอกจากสิ่งมีชีวิตก็ยังมีสิ่งไม่มีชีวิตอีกด้วย ซึ่งล้วนมีประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อมนุษย์

 

 

กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในป่าที่สำคัญมี 3 กลุ่ม คือ

1. พืช ได้แก่ ต้นไม้ ทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก รวมทั้งเถาวัลย์และไม้เลื้อยต่างๆ ทำหน้าที่สำคัญ เป็นผู้ผลิต (producer) ในระบบนิเวศ และเป็นแหล่งของปัจจัยสี่

2. สัตว์ป่า ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกทุกชนิด ที่อาศัยอยู่อย่างอิสระในป่า โดยไม่มีใครเลี้ยงดูและเป็นเจ้าของ หน้าที่ของสัตว์ในระบบนิเวศ คือ เป็นผู้บริโภค (consumer) เป็นอาหาร สัตว์ป่ายังช่วยควบคุมสมดุลธรรมชาติของป่าด้วย

3. ผู้ย่อยสลาย (decomposer) ได้แก่ จุลินทรีย์ พวกแบคทีเรีย และเห็ดราชนิดต่างๆ ซึ่งเป็นตัวเปลี่ยนอินทรียสารให้เป็นสารอนินทรีย์ที่เป็นสารอาหารของพืช และพืชดูดซึมเอาไปใช้สร้างเนื้อเยื่อพืชได้

 

สาเหตุการลดลงของพื้นที่ป่าไม้

1. การลักลอบตัดไม้ทำลายป่า เพื่อนำไม้ของป่ามาใช้ประโยชน์

2. การบุกรุกพื้นที่ป่าของมนุษย์ เพื่อทำเกษตรกรรม อุตสาหกรรม เหมืองแร่ ที่อยู่อาศัย โรงแรม รีสอร์ท สนามกอล์ฟ

3. การเกิดภัยธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้ป่า ภูเขาไประเบิด เป็นต้น

4. การเพิ่มจำนวนของประชากร ทำให้ความต้องการปัจจัย 4 เพื่อการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้น จึงต้องการพื้นที่การทำเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมากขึ้น

 

ผลกระทบจากการทำลายป่าไม้

1. สภาพภูมิอากาศเปลี่ยน การทำลายป่าไม้ทำให้ CO2 เพิ่มขึ้น เนื่องจากพืชที่อยู่ในป่ามีส่วนช่วยในการลดปริมาณ CO2 ในอากาศ จากการนำ CO2 ไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง นอกจากนี้ การทำลายป่ายังทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก และอุณหภูมิผิวโลกสูงขึ้น เกิดสภาพแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง สภาพลมฟ้าอากาศแปรปรวน

2. เกิดอุทกภัย เมื่อฝนตกหนักก็เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน เพราะไม่มีต้นไม้ช่วยดูดซับน้ำไว้ และส่งผลกระทบทำให้เกิดการพังทลายของดินอีกอีกด้วย

3. สัตว์ป่าและพืชพรรณธรรมชาติลดจำนวนลงหรือสูญพันธุ์ เมื่อมีการทำลายป่า สัตว์ป่าจะไม่มีที่อยู่อาศัย การตัดไม้ทำลายป่าจึงเป็นการทำลายแหล่งอาหาร และทำลายแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์ป่า ทำให้การหมุนเวียนสารอาหารในระบบนิเวศหยุดชะงัก

 

การจัดการทรัพยากรป่าไม้

1. กำหนดนโยบายป่าไม้แห่งชาติให้ชัดเจน โดยนโยบายป่าไม้แห่งชาติกำหนดให้มีพื้นที่ป่าไม้อย่างน้อย 40% ของพื้นที่ประเทศทั้งหมด

2. ปลูกป่าทดแทน ควรแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ ได้แก่

- ปลูกเพื่อผลิตไม้ที่มีคุณภาพดี ได้แก่ ไม้สัก

- ปลูกเพื่อผลิตไม้ที่ใช้ในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษใช้ไม้โตเร็ว

- ปลูกเพื่อรักษาต้นน้ำลำธาร ควรปลูกไม้ที่ปกคลุมดินเติบโตเร็ว ใช้น้ำน้อย

3. ป้องกันการบุกรุกทำลายป่า

4. ให้ความรู้ การศึกษา และประชาสัมพันธ์ถึงความสำคัญของป่าไม้

5. ใช้ประโยชน์จากไม้ทุกส่วนอย่างคุ้มค่า

6. ใช้วัสดุอื่นแทนไม้

7. กำหนดพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำแนกเป็น 11 ประเภท ได้แก่

- อุทยานแห่งชาติ (national park) ปัจจุบันประเทศไทยมีอยู่ 126 แห่ง

- วนอุทยาน (nature park หรือ forest park)

- สวนพฤกษศาสตร์ (botanical garden)

- สวนรุกขชาติ (arboretum)

- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า (wildlife sanctuary)

- พื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติ (natural conservation area)

- พื้นที่สงวนชีวาลัย (biosphere reserve)

- พื้นที่มรดกโลก (world heritage)

- ป่าชายเลนอนุรักษ์ (conservation mangrove forest)

- พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 (watershed class 1)

- เขตห้ามล่าสัตว์ป่า (non-hunting area)

 

ทรัพยากรสัตว์ป่า

สัตว์ป่า หมายถึง สัตว์ทุกชนิด ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์ปีก และแมลงหรือแมง รวมทั้งไข่ของสัตว์ทุกชนิด ที่เกิดและดำรงชีวิตอยู่ในป่า หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ

สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่าหายาก หรือกำลังจะสูญพันธุ์ จึงห้ามล่าหรือมีไว้ครอบครอง ทั้งสัตว์ที่ยังมีชีวิตหรือซากสัตว์ เว้นแต่จะกระทำเพื่อการศึกษาวิจัยทางวิชาการ หรือมีไว้เพื่อกิจการสวนสาธารณะ โดยได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมป่าไม้เป็นกรณีพิเศษ สัตว์ป่าสงวนมี 15 ชนิด คือ แรดหรือแรดชวา ละองหรือละมั่ง กวางผา เก้งหม้อหรือเก้งดำ แมวลายหินอ่อน พะยูน นกกระเรียน นกแต้วแร้วท้องดำ และนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร

สัตว์ป่าคุ้มครอง หมายถึง สัตว์ป่าตามที่กฏกระทรวงกำหนดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองกำหนดไว้ เช่น กระทิง กระรอกบิน กวาง เก้ง ชะมด ชะนี ไก่ป่า นกยูง นกแร้ง นกเงือก งูสิง งูเหลือม ปูเจ้าฟ้า เป็นต้น ซึ่งกฏหมายไม่อนุญาตให้ล่าหรือมีไว้ในครอบครอง หรือค้า ซึ่งรวมถึงซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง เว้นแต่การกระทำโดยทางราชการเพื่อการศึกษาวิจัยการเพาะพันธุ์ หรือเพื่อกิจการสวนสัตว์สาธารณะ

 

สาเหตุการลดลงของสัตว์ป่า

1. การทำลายที่อยู่อาศัย การขยายพื้นที่เพาะปลูก พื้นที่อยู่อาศัยเพื่อการดำรงชีพของมนุษย์ ได้ทำลายที่อยู่อาศัย และที่ดำรงชีพของสัตว์ป่าไปอย่างไม่รู้ตัว

2. สภาพธรรมชาติ การลดลงหรือสูญพันธุ์ไปตามธรรมชาติของสัตว์ป่า เนื่องจากการปรับตัวของสัตว์ป่าให้เข้ากับการดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สัตว์ป่าชนิดที่ปรับตัวได้ก็จะมีชีวิตรอด หากปรับตัวไม่ได้จะล้มตายไป ทำให้มีจำนวนลดลงและสูญพันธุ์ในที่สุด

3. การล่าโดยตรง หากเป็นการล่าโดยสัตว์ป่าด้วยกันเอง สัตว์ป่าจะไม่ลดลงหรือสูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว เช่น เสือโคร่ง เสือดาว หมาไน หมาจิ้งจอก ล่ากวาง และเก้ง ซึ่งสัตว์ที่ถูกล่าสองชนิดนี้อาจจะตายลงไปบ้าง แต่จะไม่หมดไปเสียทีเดียว เพราะในธรรมชาติแล้ว จะเกิดความสมดุลอยู่เสมอระหว่างผู้ล่าและผู้ถูกล่า แต่ถ้าถูกล่าโดยมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการล่าเพื่อเป็นอาหาร เพื่อการกีฬา หรือเพื่ออาชีพ สัตว์ป่าจะลดลงอย่างเร็วเร็วมาก

4. เนื่องจากสารพิษ เมื่อเกษตรกรใช้สารเคมีในการเพาะปลูก เช่น ยาปราบศัตรูพืช จะทำให้เกิดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ การสาธารณสุขบางครั้งจำเป็นต้องกำจัดหนูและแมลงเช่นกัน สารเคมีที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ มีหลายชนิดที่มีพิษตกค้าง ซึ่งสัตว์ป่าจะได้รับพิษตามห่วงโซ่อาหาร ทำให้สารพิษไปสะสมในสัตว์ป่ามาก หากสารพิษมีจำนวนมากพออาจจะตาย ลงได้ หรือมีผลต่อลูกหลาน เช่น ร่างกายไม่สมบูรณ์ ไม่สมประกอบ ประสิทธิภาพการให้กำเนิด หลานเหลนต่อไปมีจำกัดขึ้น ในที่สุดจะมีปริมาณลดลงและสูญพันธุ์ไป

5.การนำสัตว์จากถิ่นอื่นเข้ามา ตัวอย่างนี้ยังปรากฏไม่เด่นชัดในประเทศไทย แต่ในบางประเทศจะพบปัญหานี้ เช่น การนำพังพอนเข้าไปเพื่อกำจัดหนู ต่อมาเมื่อหนูมีจำนวนลดลง พังพอนกลับทำลายพืชผลที่ปลูกไว้แทน เป็นต้น

 

การจัดการและอนุรักษ์สัตว์ป่า

1. กำหนดกฎหมายและวิธีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ป่าเป็นแหล่งอาหารที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า อาทิ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขตเพาะพันธุ์สัตว์ป่า ฯลฯ ให้มีมากเพียงพอ

2. การรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้เห็นความสำคัญในการอนุรักษ์สัตว์ป่าอย่างจริงจัง

3. การไม่ล่าสัตว์ป่า ไม่ควรมีการล่าสัตว์ป่าทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง เพราะปัจจุบันสัตว์ป่าทุกชนิดได้ลดจำนวนลงอย่างมาก ทำให้ขาดความสมดุลทางธรรมชาติ

4. การป้องกันไฟป่า ไฟป่านอกจากจะทำให้ป่าไม้ถูกทำลายแล้ว ยังเป็นการทำลายแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าด้วย

5. การปลูกฝังการให้ความรัก และเมตตาต่อสัตว์อย่างถูกวิธี สัตว์ป่าทุกชนิดมีความรักชีวิตเหมือนกับมนุษย์ การฆ่าสัตว์ป่า การนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงไว้ในบ้าน เป็นการทรมานสัตว์ป่าเพราะมักไม่มีชีวิตรอด

6. การเพาะพันธุ์เพิ่มสัตว์ป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์ หรือมีจำนวนน้อยลง ควรมีการเพาะพันธุ์ขยายพันธุ์ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการทดแทน และเร่งให้มีสัตว์ป่าเพิ่มมากขึ้น

 

พัดชา วิจิตรวงศ์