ไฟลัมแอนโทไฟตา (phylum anthophyta)
ตามสายวิวัฒนาการของพืชบก อาณาจักรพืช (plantae) สามารถแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มไบรโอไฟต์ (bryophytes) กลุ่มเทอริโดไฟต์ (pteridophytes) กลุ่มจิมในสเปิร์ม (gymnosperms) และกลุ่มแองจิโอสเปิร์ม (angiosperms) พวกไบรโอไฟต์ส่วนใหญ่คือ พวกมอส (mosses) ซึ่งไม่มีท่อลำเลียง (nonvascular) อีก 3 กลุ่มใหญ่ที่เหลือมีท่อลำเลียง จึงเรียกว่า กลุ่มพืชมีท่อลำเลียง (vascular plant) ซึ่งมีพวกเฟิร์นและเทอริโดไฟต์อื่นๆ เป็นพวกพืชไม่มีเมล็ด ส่วนจิมโนสเปิร์มและแองจิโอสเปิร์มจัดเป็นพืชมีเมล็ด
1. พืชไม่มีท่อลำเลียง (nonvascular plant)
เป็นพืชบกขนาดเล็ก มีระยะแกมีโทไฟต์เป็นระยะเด่นเห็นอยู่ทั่วไป แต่ระยะสปอโรไฟต์มีขนาดเล็กกว่า และมีเพียงช่วงหนึ่งของวัฏจักรชีวิต และเจริญอยู่บนต้นแกมีโทไฟต์ พืชไม่มีท่อลำเลียงพบอยู่ในบริเวณที่มีความชื้นสูง ยึดกับดิน ดูดน้ำและสารอาหารโดยโครงสร้างคล้ายราก เรียกว่า ไรซอยด์ (rhizoid)
ส่วนที่เป็นแผ่นคล้ายใบมีชั้นคิวทิเคิลบางมากปกคลุม เรียกว่า ฟิลลิเดียม (phyllidium) การปฏิสนธิต้องอาศัยน้ำเป็นตัวกลาง ให้สเปิร์มเคลื่อนที่ไปผสมกับเซลล์ไข่ ภายในโครงสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียของแกมีโทไฟต์ โครงสร้างของส่วนที่คล้ายต้น เรียกว่า ทัลลัส (thallus)
การเจริญของสปอโรไฟต์ต้องอาศัยอาหารจากแกมีโทไฟต์และมีอายุสั้น ดังนั้น จะพบสปอโรไฟต์อาศัยอยู่บนแกมีโทไฟต์เสมอ ตัวอย่างพืชไม่มีท่อลำเลียง ได้แก่ ลิเวอร์เวิร์ท (liverwort) ฮอร์นเวิร์ท (hornwort) และมอสส์ (moss) ไบรโอไฟต์ประกอบด้วย 3 ไฟลัม คือ
1.1) ไฟลัมไบรโอไฟตา (phylum bryophyta)
ได้แก่ มอสชนิดต่างๆ มีส่วนคล้ายลำต้น คล้ายราก และคล้ายใบ ส่วนที่คล้ายลำต้นของมอสไม่มีท่อลำเลียง ส่วนคล้ายลำต้นจะงอกจากส่วนที่เป็นท่อนๆ เรียกว่า โปรโตนีมา (protonema) ซึ่งเจริญมาจากส่วนของสปอร์ที่ปลิวไปตกบริเวณที่เหมาะสม แล้วจะเริ่มมีลักษณะคล้ายใบงอกออกมา พร้อมกันนั้นส่วนที่คล้ายต้น (caulidium) งอกสูงขึ้น โดยมีส่วนคล้ายรากยึดกับดินหรือซอกหินแฉะๆ เอาไว้
จากนั้นต้นตัวผู้จะสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ที่เรียกว่า แอนเทอริเดียม (antheridium) สร้างสเปิร์มซึ่งมีแฟลเจลลา (flagella) ใช้สำหรับว่ายน้ำ ต้นตัวเมียจะสร้างอวัยวะสืบพันธุ์เพศเมีย ที่เรียกว่า อาร์คีโกเนียม (archegonium) ภายในมีไข่ (egg) สเปิร์มจะว่ายน้ำจากแอนเทอริเดียมเข้าผสมกับไข่ ไข่จะเจริญไปเป็นเอ็มบริโอ (embryo) แล้วเป็นสปอโรไฟต์อยู่บนแกมีโทไฟต์นั่นเอง
ส่วนของสปอโรไฟต์ประกอบด้วย ฟุต (foot) ซึ่งยึดติดกับแกมีโทไฟต์ของต้นตัวเมีย ก้านชูอับสปอร์ (stalk หรือ seta) และอับสปอร์ (sporangium) หรือเรียกว่าแคปซูล (capsule) ภายในอับสปอร์มีการสร้างสปอร์โดยการแบ่งเซลล์แบบลดโครโมโซมลงครึ่งหนึ่ง หรือเรียกว่าแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส (meiosis) เมื่อได้สปอร์มีโครโมโซม n สปอร์นั้นจะปลิวไปตกบนพื้นที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมจึงจะงอกเป็นต้นแกมีโทไฟต์
ตัวอย่างของมอสพบมากตามน้ำตก เช่น ข้าวตอกฤาษี หรือสแฟกนั่ม (Sphagnum sp.) พบตามที่ชื้นแฉะ เมื่อมีจำนวนมากและตายทับถมกัน จะกลายเป็นสารอินทรีย์ที่ไม่ย่อยสลายเรียกว่า พีทมอส (peat moss) ใช้ทำเครื่องปลูกพืช เช่น ปลูกแคคตัส (cactus) เพื่อรักษาความชื้นในดิน มอสพวกนี้พบตามบริเวณภูเขาสูง เช่น แถบภูหลวง ภูกระดึง ดอยอินทนนท์ เป็นต้น
1.2) ไฟลัมเฮพาโทไฟตา (phylum hepatophyta)
ได้แก่ ลิเวอร์เวิร์ท (liverwort) ระยะแกมีโทไฟต์มีลักษณะต่างจากมอสตรงที่ ลิเวอร์เวิร์ทมีลักษณะเป็นแผ่นใหญ่กว่า และบริเวณขอบมีแฉกหรือหยัก แต่บางพวกของลิเวอร์เวิร์ทมีลักษณะคล้ายมอส แผ่นที่มีลักษณะคล้ายใบ เรียกว่า ทัลลัส ด้านล่างมีรากเทียม (rhizoids) ดูดน้ำและใช้ยึดเกาะกับพื้น
ส่วนที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ อาร์คีโกเนียม (archegonium) และแอนเทอริเดียม (antheridium) ชูสูงขึ้น ส่วนที่ชูอวัยวะเพศเมียเรียกว่า อาร์คีโกนิโอฟอร์ (archegoniophore) ส่วนที่ชูอวัยวะเพศผู้เรียกว่า แอนเทอริดิโอฟอร์ (antheridiophore) บางพวกสามารถสืบพันธุ์โดยไม่ใช้เพศด้วยการสร้างเจมมาคัพ (gemma cup) ซึ่งมีเซลล์ที่จะงอกเป็นแกมีโทไฟต์ต้นใหม่อยู่ภายใน บางพวกอาจอยู่ในน้ำ
ตัวอย่างของลิเวอร์เวิร์ท ได้แก่ ริกเซีย (Riccia sp.) มาร์แคนเทีย (Marchantia sp.) เป็นต้น
1.3) ไฟลัมเอนโทเซอโรไฟตา (phylum anthocerophyta)
ได้แก่ พวกฮอร์นเวิร์ท (hornwort) พวกนี้ต่างจากมอสและลิเวอร์เวิร์ทตรงที่ แผ่นแกมีโทไฟต์เป็นแผ่นหยักๆ ส่วนต้นสปอโรไฟต์ตั้งตรง งอกจากต้นแกมีโทไฟต์ สปอโรไฟต์อยู่บนแกมีโทไฟต์ตลอดชีวิต โดยรับอาหารแร่ธาตุและน้ำผ่านต้นแกมีโทไฟต์ พวกนี้มีความทนทานต่อภูมิอากาศได้หลายสภาพ สามารถเจริญเป็นทัลลัสใหม่จากทัลลัสเดิมที่หักออก
ตัวอย่างได้แก่ แอนโธเซอรอส (Anthoceros sp.) ฟีโอเซอรอส (Phaeoceros sp.)
2. พืชมีท่อลำเลียงแต่ไม่มีเมล็ด (seedless vascular plants)
จะมีราก ลำต้น และใบที่แท้จริง และมีท่อลำเลียงน้ำ แร่ธาตุ และอาหาร ในวัฏจักรชีวิตแบบสลับของเทอริโดไฟต์ จะมีต้นแกมีโทไฟต์และต้นสปอโรไฟต์เจริญแยกต้นกัน หรืออยู่รวมกันในช่วงสั้นๆ โดยต้นแกมีโทไฟต์มีช่วงชีวิตสั้นกว่าต้นสปอโรไฟต์ พืชมีท่อลำเลียงแต่ไม่มีเมล็ดหรือเทอริโดไฟต์ในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ไฟลัม คือ
2.1) ไฟลัมไลโคไฟตา (phylum lycophyta)
บางกลุ่มสูญพันธุ์ไปแล้ว ส่วนพวกที่เหลืออยู่ในปัจจุบันเป็นพืชต้นเล็กๆ และเป็นไม้เนื้ออ่อน เป็นพืชที่มีลำต้น และใบที่แท้จริง ลำต้นส่วนที่อยู่ใต้ดินเรียกว่า ไรโซม (rhizome) และมีรากที่แท้จริง ส่วนที่ชูขึ้นมาเหนือดินอาจมีทั้งชนิดตั้งตรง และชนิดเลื้อยไปตามผิวหน้าดิน หรืออาจเป็นพวกที่ขึ้นบนต้นไม้อื่นเรียกว่า เอพิไฟต์ (epiphyte)
ใบขนาดเล็กเรียกว่า ไมโครฟิลล์ (microphyll) มีเส้นใบ 1 เส้นที่ไม่แตกแขนง เป็นใบที่แท้จริง เรียงตัวกันเป็นเกลียวรอบต้น หรือรอบกิ่ง ทั้งรากและกิ่งมีการแตกแขนงแบบไดโคโตมัส (dichotomous)
ตัวอย่างได้แก่ ช้องนางคลี่ สร้อยสุกรม สามร้อยยอด หางสิงห์ เฟือยนก พ่อค้าตีเมีย ตีนตุ๊กแก เป็นต้น
2.2) ไฟลัมเทอโรไฟตา (Phylum Pterophyta)
ประกอบด้วย
(ก) หวายทะนอย (whisk fern, Psilotum) เดิมนักพฤกษศาสตร์คิดว่า หวายทะนอยเป็นฟอสซิลที่ยังมีชีวิตอยู่ (living fossil) เพราะมีลักษณะคล้ายซากดึกดำบรรพ์ (fossil) ของพืช คือไม่มีรากและใบที่แท้จริง แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะเกิดวิวัฒนาการครั้งที่สอง หรือเกิดวิวัฒนาการภายหลัง จึงทำให้ไม่มีรากและใบที่แท้จริง
พืชกลุ่มนี้มีลำต้นขนาดเล็ก ไม่มีรากที่แท้จริง มีส่วนคล้ายรากเรียกว่า ไรซอยด์ (rhizoid) ทำหน้าที่ดูดน้ำและเกลือแร่สำหรับลำต้น เป็นเหลี่ยม แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนเหนือดิน และใต้ดิน ที่เรียกว่า ไรโซม
ส่วนที่อยู่เหนือดินมีสีเขียวทำหน้าที่สังเคราะห์แสงได้ด้วย ลำต้นมีการแตกกิ่งเป็นคู่ๆ เรียกว่า dichotomous branching มีอับสปอร์อยู่ที่กิ่ง แต่ไม่มีใบ อับสปอร์มีลักษณะเป็นพู 3-5 พูอยู่ที่ด้านข้างของกิ่ง ต้นที่พบทั่วไปเป็นระยะสปอโรไฟต์ ส่วนแกมีโทไฟต์มีขนาดเล็กและอายุสั้น
(ข) หญ้าถอดปล้องหรืออีควิเซตัม (equisetum sp.) ภาษาไทยอาจเรียกชื่ออื่นๆ เช่น หญ้าเงือกสนหางม้า จีนัสอื่นๆ สูญพันธุ์หมดแล้ว เป็นพวกที่มีรากลำต้น และใบที่แท้จริง ลำต้นมีทั้งอยู่ใต้ดิน (rhizome) และตั้งตรงขึ้นเหนือดิน บางชนิดลำต้นมีขนาดเล็ก สีเขียว ทำการสังเคราะห์ด้วยแสงได้
ลำต้นมีข้อและปล้องต่อกัน มองเห็นได้ชัดเจน และยังสามารถดึงแยกออกจากกันได้ รอบๆ ข้อมีใบคล้ายใบเกล็ดแตกออกโดยรอบ แต่ละใบมีเส้นใบ 1 เส้น ลำต้นค่อนข้างแข็งหยาบ เพราะมีสารพวกซิลิกาเคลือบ ภายในลำต้นกลวงคล้ายต้นไผ่ สโตรบิลัสอยู่สุดยอดของลำต้น โดยมีอับสปอร์อยู่ภายในสร้างสปอร์ชนิดเดียว เมื่อสปอร์หลุดออกจะงอกเป็นแกมีโทไฟต์ มีขนาดเล็กสีเขียวเป็นแผ่นเรียกว่า ทัลลัส (thallus) มีไรซอยด์ แอนเทอริเดียม และอาร์คีโกเนียมอยู่บนแผ่นทัลลัสเดียวกัน สเปิร์มว่ายน้ำเข้าไปผสมกับไข่ เหมือนกับพวกอื่นๆ
(ค) เฟิร์น (ferns) เป็นพืชที่มีรากลำต้นและใบที่แท้จริง เฟิร์นเป็นสมาชิกในไฟลัมเทอโรไฟตา มีจำนวนมากถึง 12,000 ชนิด ขึ้นอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ต่างกัน เช่น เริ่มจากพวกที่อยู่บนพืชอื่น คือ เป็นเอพิไฟต์ (epiphyte) เช่น ชายผ้าสีดา (platy cerium) บางพวกอยู่ในที่แห้ง เช่น ต้นกูดแต้ม บางชนิดอยู่ในบริเวณที่มีความชื้นแฉะมาก เช่น ปรงทะเล ย่านลิเภา บางชนิดขึ้นอยู่ในน้ำ เช่น ผักกูดน้ำ ผักแว่น บางชนิดลอยอยู่ในน้ำ เช่น แหนแดง
ต้นสปอโรไฟต์มีขนาดใหญ่กว่าต้นแกมีโทไฟต์ หากเป็นต้นที่อยู่บนดิน มักมีไรโซมอยู่ใต้ดิน เมื่อสปอโรไฟต์เจริญเต็มที่จะสร้างอับสปอร์ไว้เป็นกลุ่มๆ เรียกว่า ซอรัส (sorus) ซอรัสนี้จะอยู่ทางด้านล่างของใบ หากซอรัสมีเยื่อหุ้ม เยื่อหุ้มนั้นเรียกว่า อินดูเซียม (indusium)
ในพวกเฟิร์นที่อยู่ในน้ำจะสร้างอวัยวะพิเศษขึ้นมาป้องกันหากเกิดความแห้งแล้ง โดยมีเปลือกนอกแข็งอวัยวะนั้น คือ สปอโรคาร์ป (sporocarp) ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากใบ
แกมีโทไฟต์มีรูปร่างเป็นแผ่นสีเขียวๆ คล้ายหัวใจเรียกโปรทัลลัส (prothallus) แผ่นนี้แยกออกจากสปอโรไฟต์ แต่มีขนาดเล็กกว่าสปอโรไฟต์ เมื่อแกมีโทไฟต์สร้างอาร์คีโกเนียมและแอนเทอริเดียม และเจริญเต็มที่แล้ว สเปิร์มจะว่ายน้ำเข้าผสมกับไข่ ต้นอ่อนจะเจริญอยู่ในอาร์คีโกเนียม จนกระทั่งได้ต้นสปอโรไฟต์ใหม่ (young sporophyte) ส่วนโปรทัลลัสหรือแกมีโทไฟต์จะสลายไป
3. พืชมีท่อลำเลียงที่มีเมล็ด
จากผลการศึกษาได้จัดแบ่งพืชมีท่อลำเลียงที่มีเมล็ดออกเป็น 2 กลุ่ม คือ พืชเมล็ดเปลือย (gymnosperm) และพืชดอก (angiosperm)
3.1 พืชเมล็ดเปลือย (gymnosperm)
หมายถึง พืชที่ไม่มีดอก ไม่มีรังไข่ เมื่อออวุล กลายเป็นเมล็ด จึงไม่มีผลหุ้มเมล็ด แบ่งออกเป็น 4 ไฟลัม คือ
(ก) ไฟลัมไซแคโดไฟตา (phylum cycadophyta) พืชในไฟลัมนี้ เป็นพืชที่มีการกระจายพันธุ์ในบริเวณที่แห้งแล้งได้ดี อยู่ในจีนัส Cycas sp. เช่น ปรง ปรงป่า ปรงญี่ปุ่น (ปรงจีน) ปรงเขา ปรงหนู ปรงเหลี่ยม ปรงหิน เป็นต้น
พบได้ตั้งแต่บริเวณป่าชายเลน บริเวณเกาะที่มีภูเขาหินปูน ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ และป่าดิบเขา ซึ่งมีรูปร่างลำต้นคล้ายกับต้นปาล์มขนาดเล็ก เติบโตช้า ใบจึงแตกต่างกับต้นสน อีกทั้งไม่มีกิ่งก้าน ใบแตกออกบริเวณยอด ใบคล้ายทาง มะพร้าว เป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว แผ่นใบย่อยเมื่อเป็นใบอ่อนมีการม้วนจากปลายใบไปสู่โคนใบ
มีการสร้างโคนเพศผู้และโคนเพศเมียแยกต้นกัน (dioecious) โดยโนเพศเมียมีออวุลหลายออวุลติดอยู่บนแผ่นใบ ซึ่งเรียงซ้อนกันแน่นแต่มักไม่เป็นสตรอบิลัส ประโยชน์ของปรงนำไปใช้ตกแต่งสถานที่ให้ดูสวยงาม
(ข) ไฟลัมกิงโกไฟตา (phylum ginkgophyta) เป็นพืชโบราณที่มีวิวัฒนาการน้อยมาก พบตามธรรมชาติในเขตอบอุ่น เช่น ประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ลักษณะทั่วไปของพืชในไฟลัมนี้ คือ มีลำต้นขนาดใหญ่ มีใบเดี่ยวคล้ายพัดสีเขียว และจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองในฤดูใบไม้ร่วง ลำต้นขนาดใหญ่คล้ายพืชดอก ใบเป็นแผ่นกว้างคล้ายพัด มีรอยเว้าตรงกลาง จึงเห็นเป็น 2 หยัก (lobe)
ต้นเพศเมียสร้างออวุลที่ปลายกิ่งพิเศษ โดยมีก้านชูออวุลก้านหนึ่งมี 2 ออวุล แต่มีเพียง 1 ออวุลที่เจริญเป็นเมล็ด เมล็ดมีอาหารสะสม จึงนิยมนำมารับประทาน เปลือกหุ้มเมล็ดจะมีกลิ่นเหม็น ปัจจุบันพบพืชในไฟลัมนี้เพียงชนิดเดียว คือ แปะก๊วย (Ginkgo biloba L.)
สารสกัดจากแป๊ะก๊วยมีสมบัติช่วยปรับระบบหมุนเวียนเลือด และช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบประสาท ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปสมองได้ดีขึ้น และอาจช่วยเพิ่มความจำในผู้ป่วยชราจากโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease) จึงนิยมใช้แป๊ะก๊วยเป็นสมุนไพรบำบัด นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในเมืองใหญ่ เพราะทนทานต่อสภาพอากาศเสียได้ดี
(ค) ไฟลัมโคนิเฟอโรไฟตา (phylum coniferophyta) เป็นพืชเมล็ดเปลือยที่มีความหลากหลายมากที่สุด มีลักษณะสำคัญคือ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ รูปทรงของลำต้นและใบคล้ายพีระมิด ใบมีขนาดเล็กคล้ายเข็ม ซึ่งต่างจากสนทะเลสนปฏิพัทธ์ซึ่งเป็นพืชดอก อยู่เป็นกลุ่มบนกิ่งสั้นๆ
ลำต้นมีการแตกกิ่งก้านได้มาก ปลายยอดมีเนื้อเยื่อเจริญ (apical meristem) มีการสร้างเนื้อเยื่อทุติยภูมิจากการแบ่งเซลล์ของแคมเบียม (cambium) และคอร์กแคมเบียม (cork cambium) ไซเล็มไม่มีเวสเซล (vessel) มีเฉพาะเทรคีด (tracheid) และในโฟลเอ็มไม่มีเซลล์คอมพาเนียน ยังไม่มีดอก ไม่มีรังไข่ มีแต่ออวุล (ovule)
ดังนั้น เมื่อไข่ถูกผสมออวุลจึงกลายเป็นเมล็ดที่ไม่มีผลหุ้ม อวัยวะสืบพันธุ์แทนที่จะเป็นดอกกลับเป็นแผ่นแข็งๆ สีน้ำตาล หรือใบที่เรียก สปอโรฟิลล์ (sporophyll) รวมกันเป็นกลุ่มเรียกว่า สตรอบิลัส (strobilus) หรือโคน (cone) ซึ่งแยกออกเป็นโคนตัวผู้ (staminate cone) ซึ่งภายในมีไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์ (microspore mother cell ซึ่งมี 2n)
เมื่อแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสแล้ว จะได้ไมโครสปอร์ (Microspore) 4 เซลล์ ซึ่งต่อไปเจริญเป็นละอองเรณู (pollen grain) มีปีก มีเจเนอเรทีฟเซลล์ และทิวบ์เซลล์ เวลาถ่ายละอองเรณูนี้ จะปลิวไปเนื่องจากมีปีก (wing) และจะไปตกลงบนแกมีโทไฟต์เพศเมีย โดยโคนเพศผู้และโคนเพศเมียอาจเกิดอยู่บนต้นเดียวกันหรือแยกต้นกันก็ได้
พืชในไฟลัมโคนิเฟอโรไฟตามีประมาณ 550 ชนิด เช่น สนสองใบ (Pinus merkusii) สนสามใบ (Pinus kesiya Royle ex Gordon) ซึ่งพบอยู่ตามแหล่งที่มีอากาศเย็น ในประเทศไทยมีอยู่ตามภูเขาสูง เช่น ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ดอยขุนตาน จ.ลำพูน และ จ.ลำปาง ภูกระดึง จ.เลย เป็นต้น
(ง) ไฟลัมนีโทไฟตา (phylum gnetophyta) เป็นพืชที่มีลักษณะพัฒนากว่าพืชเมล็ดเปลือยกลุ่มอื่นๆ คือ มีเซลล์ลำเลียงน้ำเรียกว่า เวสเซลอีลีเมนต์ (vessel element) อยู่ในไซเล็ม นอกจากนี้ ยังมีลักษณะที่คล้ายกับของพืชดอก คือ การปฏิสนธิ กล่าวคือ เมื่อสเปิร์มเซลล์หนึ่งจากแกมีโทไฟต์เพศผู้เข้าปฏิสนธิกับไข่แล้ว สเปิร์มเซลล์ที่สองจะเข้าปฏิสนธิกับอีกเซลล์หนึ่งในแกมีโทไฟต์เพศเมียเดียวกัน จึงเกิดการปฏิสนธิซ้อน ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดในพืชดอก แต่การปฏิสนธิของนีโทไฟต์จะไม่ได้เอนโดสเปิร์ม และเซลล์ดิพลอยด์ที่เกิดจากการปฏิสนธิของสเปิร์มเซลล์ที่สองจะสลายไป
นีโทไฟต์มีทั้งต้นตัวผู้และต้นตัวเมีย จึงสร้างสตรอบิลัสเพศผู้และเพศเมียแยกกัน พืชในไฟลัมนีโทไฟตาบางชนิดเป็นไม้ยืนต้น หรือไม้เถาขนาดใหญ่ที่มีเนื้อไม้ ปัจจุบันเหลือเพียง 3 จีนัส คือ มะเมื่อย (Gnetum sp.) พบในป่าเขตร้อน บางชนิดเป็นไม้พุ่ม เช่น มั่วอึ่ง (Ephedra sp.) พบในทะเลทรายของอเมริกา บางชนิดพบเฉพาะในทะเลทรายของแอฟริกา เช่น ปีศาจทะเลทราย (Welwitschia sp.) เป็นพืชโบราณไร้ดอก ในประเทศไทยพบจีนัสเดียว คือ จีนัสนีตัม (Gnetum sp.) เช่น มะเมื่อย ผักเหลียง
3.2 พืชดอก (Angiosperm)
คือพืชมีดอก มีรังไข่ เมื่อออวุลกลายเป็นเมล็ดจึงมีผลหุ้มเมล็ด ได้แก่ ไฟลัมแอนโทไฟตา (phylum anthophyta)
เป็นกลุ่มพืชดอกมีอยู่มากกว่าพืชทุกชนิดรวมกันถึง 3 เท่า คือ ราว 250,000 ชนิด เป็นพืชที่มีลำต้น ราก ใบเจริญดี ลักษณะเด่นของพืชกลุ่มนี้คือ มีดอก เมล็ดอยู่ภายในผล หรือเมล็ดมีรังไข่หุ้ม พืชดอกบางชนิดอาจเห็นดอกได้ยาก หรือไม่เคยพบดอกเลย เช่น ไข่น้ำ หรือผำ ซึ่งเป็นพืชดอกขนาดเล็กที่สุด สนทะเล สาหร่ายหางกระรอก จอก แหน พลูด่าง ตะไคร้ ไผ่ เป็นต้น
พืชดอกส่วนใหญ่ในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเด่นๆ คือ พืชใบเลี้ยงคู่ (dicotyledonous Plant) กับ พืชใบเลี้ยงเดี่ยว (monocotyledonous Plant)
การสืบพันธุ์ของพืชมีดอก พบว่า มีการปฏิสนธิซ้อน (double fertilization) คือ การปฏิสนธิระหว่างสเปิร์ม 2 เซลล์ เซลล์หนึ่งผสมกับเซลล์ไข่ได้เป็นไซโกต ซึ่งเจริญพัฒนาไปเป็นต้นอ่อน (embryo) ส่วนอีกเซลล์หนึ่งผสมกับโพลาร์นิวคลีโอ ได้เป็นเอนโดสเปิร์ม ทำหน้าที่เก็บสะสมอาหารไว้เลี้ยงต้นอ่อน สปอโรไฟต์ของพืชมีดอกมีขนาดใหญ่เด่นชัด ประกอบด้วย ราก ลำต้น และใบที่แท้จริง แต่แกมีโทไฟต์มีขนาดเล็ก เจริญอยู่บนสปอโรไฟต์
รากของพืชมีดอกบางชนิดมีการเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่อื่นๆ เช่น รากสะสมอาหาร พบในแครอต กระชาย มันเทศ มันแกว มันสำปะหลัง รากหายใจ เช่น รากกล้วยไม้ ลำพู โกงกาง ผักกระเฉด รากค้ำจุน เช่นรากต้นโกงกาง ไทรย้อย ยางอินเดีย ข้าวโพด ลำเจียก เป็นต้น
นอกจากนี้ ส่วนของลำต้นและใบของพืชมีดอกบางชนิด มีการเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ลำต้นสะสมอาหาร ลำต้นปีนป่าย ลำต้นหนาม ใบสะสมอาหาร ใบมือเกาะ ใบดักจับแมลง และใบดอก
พัดชา วิจิตรวงศ์