ในอาณาจักรโพรทิสตา (kingdom protista) สิ่งมีชีวิตอาจมีเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ เป็นเซลล์ชนิดยูคาริโอต (eukaryote) คือ มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส แต่เซลล์เหล่านั้นยังไม่รวมตัวกันเป็นเนื้อเยื่อ และมีลักษณะของพืชและสัตว์รวมกัน เช่น มีการเคลื่อนที่ได้อันเป็นลักษณะของสัตว์ มีการสังเคราะห์ด้วยแสงโดยใช้คลอโรฟิลล์เช่นเดียวกับพืช อาณาจักรโพรทิสตาประกอบด้วย สิ่งมีชีวิตพวกโพรโทซัว สาหร่ายราย และราเมือก
1. โพรโทซัว (protozoa)
เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดเล็กมาก มองดูด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูจึงจะเห็นได้ โพรโทซัวอาจอยู่เป็นเซลล์เดี่ยวๆ เช่น ยูกลีนา อะมีบา พารามีเซียม หรืออยู่รวมกันเป็นโคโลนี เช่น วอลวอกซ์ (volvox) แหล่งที่อยู่อาศัยมีทั้งอยู่อย่างอิสระในดิน ในน้ำจืด ในน้ำเค็ม
หรืออยู่ในสภาพปรสิตกับสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น เชื้อพลาสโมเดียม (plasmodium sp.) ทำให้เกิดโรคมาลาเรีย เชื้อ entamoeba histolytica ซึ่งทำให้เป็นโรคบิดมีตัว เกิดอาการท้องร่วง ลำไส้อักเสบ บางชนิดอาจจะอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ของสัตว์ชั้นสูงหลายชนิดรวมทั้งคน แต่ไม่ทำอันตราย เพราะพวกนี้ย่อยกากอาหารทำให้มีแก๊สเกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่ พวก entamoeba coli โพรโทซัว entamoeba gingivitis อาศัยอยู่ที่โคนฟัน คอยกินแบคทีเรียในปาก ไม่ทำให้เกิดโทษ
โพรโทซัวมีรูปร่างแตกต่างกันมากมาย มีการเคลื่อนที่โดยใช้อวัยวะต่างกัน จำแนกโพรโทซัวตามอวัยวะในการเคลื่อนที่ออกได้เป็น 4 ชนิด
1.1) กลุ่มแฟลเจลลาตา (flagellate) เป็นโพรโทซัวที่เคลื่อนที่ด้วยแฟลเจลลัม (flagellum) เช่น ยูกลีนา ซึ่งอาศัยหากินอย่างอิสระในน้ำ ทริพาโนโซมา (Trypanosoma) เป็นโพรโทซัวที่มีแฟลเจลลาอาศัยอยู่ในเลือด ทำให้คนเป็นโรคเหงาหลับ (African sleeping sickness) ซึ่งมีแมลง tsetse fly เป็นพาหะ วอลวอกซ์ที่อยู่ร่วมกันเป็นโคโลนี้ก็เป็นโพรโทซัวพวกมีแฟลเจลลา โพรโทซัวมีหนวดพวก Trichonympha อาศัยอยู่ในลำไส้ปลวก โดยอยู่ร่วมกันแบบภาวะพึ่งพา
1.2) กลุ่มซิลิอาตา (ciliata) เป็นโพรโทซัวที่เคลื่อนที่ด้วยซิเลีย (cilia) ซึ่งเป็นขนสั้นๆ มีจำนวนมาก อาจเรียกโพรโทซัวพวกนี้ว่า ซิลิเอต (ciliates) ตัวอย่างเช่น พารามีเซียม (paramecium) รูปร่างคล้ายรองเท้าแตะ วอร์ดีเซลลา (vorticella) รูปร่างคล้ายกระดิ่ง สเตนเตอร์ (stentor) เป็นต้น ซิลิเอตโดยทั่วไปมีนิวเคลียส 2 ชนิด คือ นิวเคลียสขนาดใหญ่ (macronucleus) ทำหน้าที่ควบคุมกระบวนการต่างๆ นอกจากการสืบพันธุ์ และนิวเคลียสขนาดเล็ก (micronucleus) ทำหน้าที่ควบคุมการสืบพันธุ์
1.3) กลุ่มซาร์โกดินา หรือไรโซโพดา (Sarcodina or Rhizopoda) เป็นโพรโทซัวที่เคลื่อนที่ด้วยขาเทียม หรือซูโดโพเดียม (pseudopodium) ที่เกิดจากการไหลของไซโทพลาซึมเข้าไปข้างใดข้างหนึ่งของเซลล์เยื่อหุ้ม เซลล์ทางด้านนั้นจะปูดออกทำให้ตัวมันเคลื่อนที่ตามทิศทางที่ขาเทียมได้ปูดออกไป พบทั้งในน้ำจืด น้ำเค็ม ได้แก่ อะมีบา (amoeba) พวกอยู่ในทะเลมักมีเปลือก (test) หุ้ม เช่น ฟอรามินิเฟอรา (foraminifera) เรดิโอลาเรีย (radiolaria) ซึ่งเปลือกจะมีลวดลายสวยงามเนื่องจากมีสารต่างๆ มาสะสมอยู
1.4) กลุ่มสปอโรซัว (sporozoa) เป็นโพรโทซัวที่ไม่มีโครงสร้างในการเคลื่อนที่ ส่วนใหญ่เป็น โพรโทซัวที่เป็นปรสิต เช่น พลาสโมเดียม (plasmodium) ทำให้เกิดโรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องเป็นพาหะ เมื่อพลาสโมเดียมเข้าสู่กระแสเลือดจะเข้าสู่เม็ดเลือดแดง แล้วแบ่งตัวมากมายจนเม็ดเลือดแดงแตกออก สารพิษที่เกิดจากพลาสโมเดียมจะทำให้คนไข้มีอาการจับไข้หนาวสั่น ไข้จะลดลงเมื่อเชื้อพลาสโมเดียมเข้าเม็ดเลือดแดงชุดใหม่ เพื่อเข้าไปแบ่งเซลล์ภายในเม็ดเลือดแดงอีก เมื่อใดที่เม็ดเลือดแดงแตก คนไข้จะมีอาการหนาวสั่นขึ้นมาอีก
เชื้อมาลาเรียที่สำคัญที่พบในประเทศไทยมีอยู่ 2 ชนิด คือ plasmodium falciparum ทำให้เกิดโรคมาลาเรียขึ้นสมอง มีอาการรุนแรงกว่า และมีการจับไข้ทุกวัน ส่วนอีกชนิดหนึ่งคือ plasmodium vivax เกิดโรคมาลาเรียลงตับ มีการจับใช้ทุก 2 วัน เนื่องจากการรักษายังไม่ได้ผล อีกทั้งเชื้อมาลาเรียในปัจจุบันมีความดื้อยาสูง จึงยังพบผู้ป่วยเป็นมาลาเรียได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย
2. สาหร่าย (Algae)
แบ่งเป็นกลุ่มสำคัญๆ ดังนี้
2.1) กลุ่มสาหร่ายสีเขียว (phylum chlorophyta) คือ สาหร่ายที่มีคลอโรพลาสต์ในเซลล์ เป็นสาหร่ายกลุ่มใหญ่ที่สุด พบตามบ่อ บึง คูน้ำ และในน้ำทะเล มีทั้งเป็นเซลล์เดียว เช่น Chlamydomonas, Chlorococcum, Chlorella, Closterium, Cosmarium ส่วนพวกที่อยู่เป็นกลุ่ม เช่น volvox, Scenedesmus, Pediastrum ชนิดที่อยู่กันเป็นสาย ได้แก่ Ulothrix, spirogyra, Cladophora สาหร่ายสีเขียวมีลักษณะสำคัญ คือ มีคลอโรฟิลล์เอและบี และรงควัตถุอื่นๆ เช่น แคโรทีน แซนโทฟิลล์ (xanthophyll) ผนังเซลล์ประกอบด้วยเซลลูโลสเป็นส่วนใหญ่ สาหร่ายสีเขียวพวกคลอเรลลา (Chlorella) ซีนเดสมัส (Scenedesmus) มีโปรตีนสูงจึงนำมาสกัดเอาโปรตีนเพื่อนำไปทำอาหารสัตว์ ส่วนสไปโรไจรา (Spirogyra) ชาวอีสานเรียกว่า เทาน้ำ นำเอาไปทำอาหารรับประทาน
2.2) กลุ่มสาหร่ายสีน้ำตาลแกมเหลือง (phylum bacillariophyta) ได้แก่ พวกไดอะตอม (diatom) มีลักษณะสำคัญ คือ มีคลอโรฟิลล์เอและซี รวมทั้งรงควัตถุบีตาแคโรทีน (b-carotene) แซนโทฟิลล์ (xanthophyll) และฟิวโคแซนทีน (fucoxanthin) ผนังเซลล์ประกอบด้วยซิลิกาเซลลูโลส บางชนิดมีไคทิน พบทั้งน้ำจืด และน้ำเค็ม ซากของไดอะตอมที่ตายทับถมมากๆ อยู่ใต้ทะเลเรียกว่า diatomaceous earth มีทั้งแร่ธาตุและน้ำมัน นำมาใช้ประโยชน์เป็นฉนวนและเครื่องกรอง ใช้ในการทำยาขัดต่างๆ เช่น ยาขัดรถ ยาสีฟัน ใช้ในการทำเครื่องสำอาง เป็นต้น
2.3) กลุ่มสาหร่ายสีน้ำตาล (phylum phaeophyta) ส่วนใหญ่พบในน้ำเค็ม สาหร่ายสีน้ำตาลมีลักษณะเด่น คือ มีคลอโรฟิลล์เอ คลอโรฟิลล์ซี และรงควัตถุสีน้ำตาลฟิวโคแซนทิน (fucoxanthin) มาก ส่วนใหญ่พบในน้ำเค็ม และน้ำกร่อย ผนังเซลล์ประกอบด้วยเซลลูโลส และกรดแอลจินิก (alginic acid) หรือแอลจีน (algin) กรดแอลจินิกนำมาสกัดเป็นสารประกอบแอลจิน ใช้ทำวุ้นและสารที่ทำให้เกิดการคงตัว (thickening and stabilizing agent) ในยาสีฟัน ไอศกรีม โลชั่นต่างๆ ทำยา ทำสี ทำปุ๋ย เพราะมีไอโอดีน และโพแทสเซียมมาก ตัวอย่างได้แก่ kelp (macrocystis) ซึ่งมีขนาดยาวที่สุด laminaria ใช้สกัดแอลจิน Padina และ fucus ใช้ทำปุ๋ยโพแทสเซียม Sargassum หรือสาหร่ายทุ่น ซึ่งมีมากในอ่าวไทย ใช้เป็นอาหารเพราะมีไอโอดีนสูง
2.4 กลุ่มสาหร่ายสีแดง (phylum rhodophyta) ซึ่งมีอยู่ในน้ำเค็มเป็นส่วนใหญ่ มีลักษณะเด่นดังนี้ มีคลอโรฟิลล์เอและดี แคโรทีน แซนโทฟิลล์ ไฟโครีทริน (phycoerythrin) ส่วนใหญ่อยู่ในทะเล ผนังเซลล์ประกอบด้วยเซลลูโลส เพกทิน ประโยชน์ใช้เป็นอาหารโดยตรง เช่น จีฉ่าย (porphyria) ใช้สกัดทำวุ้น ซึ่งได้จากสาหร่ายผมนาง (Gracilaria) ใช้ในอุตสาหกรรมการทําเครื่องสำอาง เป็นส่วนผสมยาขัดรองเท้า ครีมโกนหนวด
3. ราเมือก (Slime mold)
เป็นโพรทิสต์ที่คล้ายรา (fungi) คือ ไม่มีการสังเคราะห์ด้วยแสง และมีโครงสร้างเป็นเส้นใยเรียกว่า ไฮฟา (hypha) ลักษณะที่คล้ายกันนี้มาจากวิวัฒนาการคล้ายกัน เพื่อปรับตัวให้เป็นผู้ย่อยสารอินทรีย์ ถ้าจัดตามวิธีการเคลื่อนที่ จะจัดราเมือกอยู่กับพวกอะมีบา เพราะราเมือกใช้ขาเทียม (pseudopodia) ในการเคลื่อนที่และหาอาหาร แต่ปัจจุบันจัดราเมือกแยกเป็นกลุ่มไมซีโทซัว (Mycetozoa) ที่ไม่ใช่ทั้งราและสัตว์ ราเมือกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
3.1) ราเมือกชนิดพลาสโมเดียม (plasmodial slime molds) เป็นเซลล์ที่มีหลายนิวเคลียส
3.2) ราเมือกชนิดเซลลูลาร์ (cellular slime molds) เป็นเซลล์ที่มี 1 นิวเคลียส และอยู่ได้อย่างอิสระ ราเมือกมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ คือ เป็นผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ ตัวอย่างได้แก่ ไฟซารัม (Phys arum sp.) ทำให้เกิดโรคยืนต้นตายในพืช หรือที่เรียกว่า โรคไฟซารัม สเตโมนิทิส (Stemonitis sp.) ช่วยย่อยสลายขอนไม้และใบไม้ เป็นต้น
4. ไลเคน (Lichens)
เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการดำรงชีวิตแบบต้องพึ่งพา (mutualism) ประกอบด้วย สาหร่ายชนิดสาหร่ายสีเขียว หรือสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (ไซยาโนแบคทีเรีย) อยู่ร่วมกับราพวกแอสโคไมซีตีส หรือเบสิดิโอไมซีตีสบ้าง ซึ่งสาหร่ายจะได้ความชื้น น้ำ เกลือแร่ และการปกป้องจากรา ส่วนราได้อาหารที่สาหร่ายสังเคราะห์ขึ้น และไซยาโนแบคทีเรียยังตรึงแก๊สไนโตรเจนและให้สารอินทรีย์ในโตรเจนแก่ราด้วย สาหร่ายอาจเรียงตัวกันเป็นระเบียบ หรืออยู่อย่างกระจัดกระจาย และมีไมซีเลียมของราหุ้มไว้
ไลเคน แบ่งเป็น 3 ชนิดตามรูปร่าง คือ
4.1) ครัสโตสไลเคน (crustose lichens) มีลักษณะเป็นแผ่นแบนเกาะติดแน่นตามเปลือกไม้ก้อนหิน จะเกิดเป็นพวกแรกก่อน
4.2) โฟลิโอสไลเคน (foliose lichens) แผ่นแบนคล้ายใบไม้ เกาะติดกับหินหรือเปลือกไม้ไม่มั่นคง หลุดง่าย ต่อมากลายเป็นฟรูติโคสไลเคน
4.3) ฟรุติโคสไลเคน (fruticose lichens) หรือฝอยลม เป็นแผ่นคล้ายกิ่งไม้แตกกิ่งก้าน ขนาดเล็ก เกาะตามกิ่งไม้ทั่วไป
พัดชา วิจิตรวงศ์