ยีนและโครโมโซม
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
13 พ.ค. 67
 | 475 views



วอลเตอร์ ชัตตัน (Walter Sutton) นักชีววิทยา เสนอทฤษฎีโครโมโซมในการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม (chromosome theory of inheritance) โดยเสนอว่า สิ่งที่เรียกว่าแฟกเตอร์จากข้อเสนอของเมนเดล (ยีน) น่าจะอยู่บนโครโมโซม เพราะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ยีนและโครโมโซมมีความสอดคล้องกัน

 

โดยชี้ให้เห็นว่า ยีนและโครโมโซมมีความสอดคล้องกัน ดังนี้

1. ยีนและโครโมโซมมี 2 ชุด 
2. ยีนและโครโมโซมสามารถถ่ายทอดไปสู่รุ่นลูกหลาน 
3. การแบ่งเซลล์แบบ meiosis โครโมโซมมีการเข้าคู่กัน และต่างแยกจากกัน ซึ่งยีนก็มีการ แยกตัวของยีนทั้งสองไปยังเซลล์สืบพันธุ์ เช่นกัน 
4. การแบ่งเซลล์แบบ meiosis การแยกตัวของโครโมโซมดำเนินไปอย่างอิสระเช่นเดียวกันกับ การแยกตัวของยีนไปยังเซลล์สืบพันธุ์ 
5. ขณะเกิดการสืบพันธุ์ การรวมตัวกันระหว่างชุดโครโมโซมจากเซลล์ไข่และสเปิร์มเป็นไปอย่างสุ่มซึ่งเหมือนกับยีน 
6. ทุกเซลล์ที่พัฒนามาจากไซโกตจะมีโครโมโซมครึ่งหนึ่งจากแม่ และอีกครึ่งหนึ่งจากพ่อ ส่วนยีนก็เช่นเดียวกัน

หลังจากการทดลองของเมนเดลได้ถูกตีพิมพ์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1869 โยฮันน์ ฟรีดริช มีเชอร์ (Johann Friedrich Miescher) นายแพทย์ชาวสวิส ได้ศึกษาองค์ประกอบของนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายแล้วบนผ้าพันแผล มีเชอร์ทดลองนำเซลล์เม็ดเลือดขาวมาย่อยโปรตีนออก พบว่ามีสารชนิดหนึ่งภายในนิวเคลียสที่ไม่สามารถย่อยได้ จึงนำสารนี้มาวิเคราะห์องค์ประกอบต่อ

มีเชอร์พบว่า สารนี้ประกอบด้วยธาตุ C H O และ P และสารนี้ก็ไม่ใช่ทั้ง ลิพิด โปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต จึงเรียกสารนี้ว่านิวคลีอิน (nuclein) เนื่องจากเป็นสารที่อยู่ในนิวเคลียส แต่ต่อมาพบว่าสารนี้มีสมบัติเป็นกรด จึงเรียกว่ากรดนิวคลีอิก (nucleic acid)

ในปี ค.ศ. 1928 เอฟ กริฟฟิท (F. Griffith) แพทย์ชาวอังกฤษ ค้นพบว่า มีสารบางอย่างทำให้แบคทีเรีย streptococcus pneumonia เกิดการแปลสภาพ จากสายพันธุ์ R (ไม่ก่อโรค) เป็นสายพันธุ์ S (ก่อโรค) โดยกริฟฟิทช์ทำการทดลองทั้งหมด 4 ชุด

การทดลองชุดที่ 1 ทดลองฉีดแบคทีเรียสายพันธุ์ R เข้าไปในหนูทดลอง ปรากฏว่าหนูไม่ตาย

การทดลองชุดที่ 2 ทดลองฉีดแบคทีเรียสายพันธุ์ S เข้าไปในหนูทดลอง ปรากฏว่าหนูตาย

การทดลองชุดที่ 3 ฆ่าแบคทีเรียสายพันธุ์ S ให้ตายด้วยความร้อน จากนั้น จึงฉีดเข้าไปในหนูทดลอง ปรากฏว่าหนูไม่ตาย

การทดลองชุดที่ 4 นำแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ตายแล้ว มาผสมกับแบคทีเรียสายพันธุ์ R ที่ยังมีชีวิต แล้วฉีดเข้าไปในหนูทดลอง ปรากฏว่าหนูตาย และเมื่อนำเลือดของหนูไปตรวจ ก็พบว่ามีทั้งแบคทีเรียสายพันธุ์ R และ S

จากการทดลองนี้ ทำให้กริฟฟิทช์สรุปได้ว่า มีสารบางอย่างจากแบคทีเรียสายพันธุ์ S เข้าไปทำให้แบคทีเรียสายพันธุ์ R แปลสภาพเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ S เราเรียกกระบวนการนี้ว่า transformation แต่กริฟฟิทช์ก็ยังไม่รู้ว่าสารที่ว่านี้คืออะไร

 

ในปี ค.ศ. 1944 เอเวอรี่และคณะ จึงทำการทดลองต่อจาก เฟร็ดเดอริก กริฟฟิทช์ โดยนำแบคทีเรียสายพันธุ์ S มาฆ่าให้ตายด้วยความร้อน สกัดออกมาเป็น 4 หลอด แล้วเติมเอนไซม์ที่แตกต่างกัน

หลอดที่ 1 ไม่เติมเอนไซม์อะไรเลย (เป็นชุดควบคุมการทดลอง) > แบคทีเรียสายพันธุ์ S ในหลอดที่ 4 มี RNA, DNA และโปรตีน

หลอดที่ 2 เติมเอนไซม์ protease เพื่อย่อยโปรตีน > แบคทีเรีย S ในหลอดที่ 2 ไม่มีโปรตีน

หลอดที่ 3 เติมเอนไซม์ ribonuclease เพื่อย่อย RNA > แบคทีเรียสายพันธุ์ S ในหลอดที่ 1 ไม่มี RNA

หลอดที่ 4 เติมเอนไซม์ deoxyribonuclease เพื่อย่อย DNA > แบคทีเรียสายพันธุ์ S ในหลอดที่ 3 ไม่มี DNA

 

จากนั้น จึงเติมแบคทีเรียสายพันธุ์ R ลงไปในหลอดทดลองทั้ง 4 เมื่อทิ้งไว้ระยะหนึ่งจึงพบว่า

หลอดที่ 1 พบแบคทีเรียสายพันธุ์ S

หลอดที่ 2 พบแบคทีเรียสายพันธุ์ S

หลอดที่ 3 พบแบคทีเรียสายพันธุ์ S

หลอดที่ 4 ไม่พบแบคทีเรียสายพันธุ์ S

สังเกตว่า เมื่อเติมแบคทีเรียสายพันธุ์ R ลงไปในหลอดทดลองที่ 4 ซึ่งเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ไม่มี DNA ก็ไม่พบแบคทีเรียสายพันธุ์ S เพิ่ม ต่างจากหลอดอื่นๆ ที่ยังมี DNA อยู่ จึงพบแบคทีเรียสายพันธุ์ S จากผลการทดลองนี้ เอเวอรี่และคณะจึงสรุปได้ว่า DNA เป็นสารพันธุกรรม ที่ทำให้แบคทีเรียสายพันธุ์ R เกิดกระบวนการ transformation กลายเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ S

ดังนั้น จึงถือได้ว่าผลการทดลองของกริฟฟิท แอเวอรี่และคณะ เป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ข้อสรุปที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือ ยีนหรือสารพันธุกรรมซึ่งทำหน้าที่ถ่ายทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิตไปสู่รุ่นต่อๆ ไปนั้น เป็นสารชีวโมเลกุลขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า DNA นั่นเอง และจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ในระยะต่อมา พบว่า DNA มีส่วนที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม และส่วนที่ไม่ได้ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม ส่วนที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม เรียกว่า ยีน ดังนั้น หน่วยพันธุกรรมที่เมนเดลเรียกว่า แฟกเตอร์ ก็คือยีนที่อยู่ในโครโมโซมนั่นเอง 

 

รูปร่าง ลักษณะ และจำนวนโครโมโซม

เซลล์ที่ยังไม่มีการแบ่งเซลล์โครโมโซม จะมีลักษณะเป็นเส้นเล็กยาวขดพันกันอยู่ภายในนิวเคลียส เรียกว่า โครมาทิน (chromatin)

เมื่อมีการแบ่งเซลล์ โครโมโซมจะจำลองตัวเองเป็นเส้นคู่ที่เหมือนกันทุกประการในระยะอินเตอร์เฟส แล้วจึงขดสั้นและหนาขึ้น สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดในระยะเมทาเฟสจากการย้อมด้วยสีย้อม DNA เช่น สีแอซีซีโครคาร์มีน หรือ ฮีมาทอซิลิน (hematoxylin) เป็นต้น สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งอาจมีโครโมโซมที่มีรูปร่างแบบเดียวหรือหลายแบบก็ได้

 

ในสิ่งมีชีวิตที่เซลล์ร่างกายมีโครโมโซม 2 ชุด เรียกว่าดิพลอยด์ (diploid) เช่น คน โครโมโซมชุดหนึ่งได้รับมาจากพ่อ อีกชุดหนึ่งได้รับมาจากแม่ เมื่อมีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส โครโมโซมที่จะเป็นคู่กันและจะมาเข้าคู่กัน แล้วแยกออกจากกันไปสู่เซลล์ลูกที่สร้างขึ้น เมื่อเสร็จสิ้นการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส โครโมโซมในเซลล์ลูกที่เกิดขึ้นจะลดลงครึ่งหนึ่ง เรียกว่า แฮพลอยด์ (haploid) โดยทั่วไปแล้ว สิ่งมีชีวิตแต่ละสปีชีส์มีจำนวนโครโมโซมคงที่

ตารางแสดงจำนวนโครโมโซมของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด

สิ่งมีชีวิต

จำนวนโครโมโซม (2n)

มนุษย์ (Homo sapiens)

46

ลองชิมแพนซี (Pan troglodytes)

48

ม้า (Equus caballus)

64

สุนัข (Canis familiaris)

78

แมว (Felis domesticus)

38

หนู (Mus musculus)

40

ไก่ (Gallus domesticus)

78

กบ (Rana pipiens)

26

ผึ้ง (Apis mellifera)

32

แมลงวัน (Musca domestica)

12

แมลงหวี่ (Drosophila melanogaster)

8

ยุงก้อปล่อง (Anopheles dirus)

6

สน (Pinus ponderosa)

24

กะหล่ำปลี (Brassica oleracea)

18

ถั่วลันเตา (Pisum sativum)

14

ฝ้าย (Gossypium hirsutum)

52

มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum)

24

หอม (Allicum cepa)

16

ยาสูบ (Nicotiana tabacum)

48

ข้าว (Oryza sativa)

24

ข้าวโพด (Zea mays)

20

กล้วย (Musa paradisiacal)

22

แตงโม (Citrullus vulgaris)

22

ชา (Cemellia sinensis)

30

ส่วนประกอบของโครโมโซม

ถ้าหากจะประมาณสัดส่วนระหว่าง DNA และโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของโครโมโซมของยูคาริโอต จะพบว่า ประกอบด้วย DNA 1 ใน 3 และอีก 2 ใน 3 เป็นโปรตีน โดยส่วนที่เป็นโปรตีนจะเป็น ฮิสโตน (histone ) และนอนฮิสโตน (non-histone ) อย่างละประมาณเท่าๆ กัน

นักวิทยาศาสตร์พบว่า ฮิสโตนเป็นโปรตีนที่มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดอะมิโนที่มีประจุบวก (basic amino acid) เช่น ไลซีน และอาร์จีนีน ทำให้มีคุณสมบัติในการเกาะจับกับสาย DNA ซึ่งมีประจุลบได้เป็นอย่างดี และทำให้เกิดการสร้างสมดุลของประจุ (neutralize) ของโครมาทินด้วยสาย DNA พันรอบกลุ่มโปรตีนฮิสโตนคล้ายเม็ดลูกปัด เรียกโครงสร้างนี้ว่า นิวคลีโอโซม (nucleosome) โดยจะมีฮิสโตนบางชนิดเชื่อมต่อระหว่างเม็ดลูกปัดแต่ละเม็ด

ส่วนของโปรตีนนอนฮิสโตนนั้นมีมากมายหลายชนิด อาจจะเป็นร้อยหรือพันชนิด ขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งมีชีวิต โดยโปรตีนเหล่านี้จะมีหน้าที่แตกต่างกันไป บางชนิดมีหน้าที่ช่วยในการขดตัวของ DNA หรือบางชนิดก็เกี่ยวข้องกับกระบวนการจำลองตัวเองของ DNA (DNA replication) หรือการแสดงออกของยีน เป็นต้น

สำหรับในโพรคาริโอต เช่น แบคทีเรีย E. Coli มีจำนวนโครโมโซมชุดเดียว และมีโครโมโซมเพียงโครโมโซมเดียว เป็นรูปวงแหวนอยู่ในไซโทพลาซึม ประกอบด้วย DNA 1 โมเลกุล และไม่มีฮิสโตนเป็นองค์ประกอบ

 

จีโนม (genome) 

สารพันธุกรรมทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งๆ เรียกว่า จีโนม (genome) จากการศึกษาพบว่า สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีขนาดจีโนมและจำนวนยีนแตกต่างกัน

ตารางแสดงขนาดของจีโนมในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด

สิ่งมีชีวิต

ขนาดของจีโนม (ล้านเบสคู่)

จำนวนยีนโดยประมาณ

มนุษย์ (Homo sapiens)

3,200

80,000

หนู (Mus musculus)

3,000

80,000

แมลงหวี่ (Drosophila melanogaster)

120

10,000

หนอนตัวกลม (Caenorhabditis elegans)

100

13,000

พืชในวงศ์ผักกาดชนิดหนึ่ง (Arabidopsis thaliana)

100

25,000

ยีสค์ (Saccharomyces cerevisiae)

15

6,000

แบคทีเรีย (Escherichia coli)

4

4,000

พัดชา วิจิตรวงศ์