วอลเตอร์ ชัตตัน (Walter Sutton) นักชีววิทยา เสนอทฤษฎีโครโมโซมในการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม (chromosome theory of inheritance) โดยเสนอว่า สิ่งที่เรียกว่าแฟกเตอร์จากข้อเสนอของเมนเดล (ยีน) น่าจะอยู่บนโครโมโซม เพราะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ยีนและโครโมโซมมีความสอดคล้องกัน
โดยชี้ให้เห็นว่า ยีนและโครโมโซมมีความสอดคล้องกัน ดังนี้
1. ยีนและโครโมโซมมี 2 ชุด
2. ยีนและโครโมโซมสามารถถ่ายทอดไปสู่รุ่นลูกหลาน
3. การแบ่งเซลล์แบบ meiosis โครโมโซมมีการเข้าคู่กัน และต่างแยกจากกัน ซึ่งยีนก็มีการ แยกตัวของยีนทั้งสองไปยังเซลล์สืบพันธุ์ เช่นกัน
4. การแบ่งเซลล์แบบ meiosis การแยกตัวของโครโมโซมดำเนินไปอย่างอิสระเช่นเดียวกันกับ การแยกตัวของยีนไปยังเซลล์สืบพันธุ์
5. ขณะเกิดการสืบพันธุ์ การรวมตัวกันระหว่างชุดโครโมโซมจากเซลล์ไข่และสเปิร์มเป็นไปอย่างสุ่มซึ่งเหมือนกับยีน
6. ทุกเซลล์ที่พัฒนามาจากไซโกตจะมีโครโมโซมครึ่งหนึ่งจากแม่ และอีกครึ่งหนึ่งจากพ่อ ส่วนยีนก็เช่นเดียวกัน
หลังจากการทดลองของเมนเดลได้ถูกตีพิมพ์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1869 โยฮันน์ ฟรีดริช มีเชอร์ (Johann Friedrich Miescher) นายแพทย์ชาวสวิส ได้ศึกษาองค์ประกอบของนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายแล้วบนผ้าพันแผล มีเชอร์ทดลองนำเซลล์เม็ดเลือดขาวมาย่อยโปรตีนออก พบว่ามีสารชนิดหนึ่งภายในนิวเคลียสที่ไม่สามารถย่อยได้ จึงนำสารนี้มาวิเคราะห์องค์ประกอบต่อ
มีเชอร์พบว่า สารนี้ประกอบด้วยธาตุ C H O และ P และสารนี้ก็ไม่ใช่ทั้ง ลิพิด โปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต จึงเรียกสารนี้ว่านิวคลีอิน (nuclein) เนื่องจากเป็นสารที่อยู่ในนิวเคลียส แต่ต่อมาพบว่าสารนี้มีสมบัติเป็นกรด จึงเรียกว่ากรดนิวคลีอิก (nucleic acid)
ในปี ค.ศ. 1928 เอฟ กริฟฟิท (F. Griffith) แพทย์ชาวอังกฤษ ค้นพบว่า มีสารบางอย่างทำให้แบคทีเรีย streptococcus pneumonia เกิดการแปลสภาพ จากสายพันธุ์ R (ไม่ก่อโรค) เป็นสายพันธุ์ S (ก่อโรค) โดยกริฟฟิทช์ทำการทดลองทั้งหมด 4 ชุด
การทดลองชุดที่ 1 ทดลองฉีดแบคทีเรียสายพันธุ์ R เข้าไปในหนูทดลอง ปรากฏว่าหนูไม่ตาย
การทดลองชุดที่ 2 ทดลองฉีดแบคทีเรียสายพันธุ์ S เข้าไปในหนูทดลอง ปรากฏว่าหนูตาย
การทดลองชุดที่ 3 ฆ่าแบคทีเรียสายพันธุ์ S ให้ตายด้วยความร้อน จากนั้น จึงฉีดเข้าไปในหนูทดลอง ปรากฏว่าหนูไม่ตาย
การทดลองชุดที่ 4 นำแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ตายแล้ว มาผสมกับแบคทีเรียสายพันธุ์ R ที่ยังมีชีวิต แล้วฉีดเข้าไปในหนูทดลอง ปรากฏว่าหนูตาย และเมื่อนำเลือดของหนูไปตรวจ ก็พบว่ามีทั้งแบคทีเรียสายพันธุ์ R และ S
จากการทดลองนี้ ทำให้กริฟฟิทช์สรุปได้ว่า มีสารบางอย่างจากแบคทีเรียสายพันธุ์ S เข้าไปทำให้แบคทีเรียสายพันธุ์ R แปลสภาพเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ S เราเรียกกระบวนการนี้ว่า transformation แต่กริฟฟิทช์ก็ยังไม่รู้ว่าสารที่ว่านี้คืออะไร
ในปี ค.ศ. 1944 เอเวอรี่และคณะ จึงทำการทดลองต่อจาก เฟร็ดเดอริก กริฟฟิทช์ โดยนำแบคทีเรียสายพันธุ์ S มาฆ่าให้ตายด้วยความร้อน สกัดออกมาเป็น 4 หลอด แล้วเติมเอนไซม์ที่แตกต่างกัน
หลอดที่ 1 ไม่เติมเอนไซม์อะไรเลย (เป็นชุดควบคุมการทดลอง) > แบคทีเรียสายพันธุ์ S ในหลอดที่ 4 มี RNA, DNA และโปรตีน
หลอดที่ 2 เติมเอนไซม์ protease เพื่อย่อยโปรตีน > แบคทีเรีย S ในหลอดที่ 2 ไม่มีโปรตีน
หลอดที่ 3 เติมเอนไซม์ ribonuclease เพื่อย่อย RNA > แบคทีเรียสายพันธุ์ S ในหลอดที่ 1 ไม่มี RNA
หลอดที่ 4 เติมเอนไซม์ deoxyribonuclease เพื่อย่อย DNA > แบคทีเรียสายพันธุ์ S ในหลอดที่ 3 ไม่มี DNA
จากนั้น จึงเติมแบคทีเรียสายพันธุ์ R ลงไปในหลอดทดลองทั้ง 4 เมื่อทิ้งไว้ระยะหนึ่งจึงพบว่า
หลอดที่ 1 พบแบคทีเรียสายพันธุ์ S
หลอดที่ 2 พบแบคทีเรียสายพันธุ์ S
หลอดที่ 3 พบแบคทีเรียสายพันธุ์ S
หลอดที่ 4 ไม่พบแบคทีเรียสายพันธุ์ S
สังเกตว่า เมื่อเติมแบคทีเรียสายพันธุ์ R ลงไปในหลอดทดลองที่ 4 ซึ่งเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ไม่มี DNA ก็ไม่พบแบคทีเรียสายพันธุ์ S เพิ่ม ต่างจากหลอดอื่นๆ ที่ยังมี DNA อยู่ จึงพบแบคทีเรียสายพันธุ์ S จากผลการทดลองนี้ เอเวอรี่และคณะจึงสรุปได้ว่า DNA เป็นสารพันธุกรรม ที่ทำให้แบคทีเรียสายพันธุ์ R เกิดกระบวนการ transformation กลายเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ S
ดังนั้น จึงถือได้ว่าผลการทดลองของกริฟฟิท แอเวอรี่และคณะ เป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ข้อสรุปที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือ ยีนหรือสารพันธุกรรมซึ่งทำหน้าที่ถ่ายทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิตไปสู่รุ่นต่อๆ ไปนั้น เป็นสารชีวโมเลกุลขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า DNA นั่นเอง และจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ในระยะต่อมา พบว่า DNA มีส่วนที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม และส่วนที่ไม่ได้ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม ส่วนที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม เรียกว่า ยีน ดังนั้น หน่วยพันธุกรรมที่เมนเดลเรียกว่า แฟกเตอร์ ก็คือยีนที่อยู่ในโครโมโซมนั่นเอง
รูปร่าง ลักษณะ และจำนวนโครโมโซม
เซลล์ที่ยังไม่มีการแบ่งเซลล์โครโมโซม จะมีลักษณะเป็นเส้นเล็กยาวขดพันกันอยู่ภายในนิวเคลียส เรียกว่า โครมาทิน (chromatin)
เมื่อมีการแบ่งเซลล์ โครโมโซมจะจำลองตัวเองเป็นเส้นคู่ที่เหมือนกันทุกประการในระยะอินเตอร์เฟส แล้วจึงขดสั้นและหนาขึ้น สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดในระยะเมทาเฟสจากการย้อมด้วยสีย้อม DNA เช่น สีแอซีซีโครคาร์มีน หรือ ฮีมาทอซิลิน (hematoxylin) เป็นต้น สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งอาจมีโครโมโซมที่มีรูปร่างแบบเดียวหรือหลายแบบก็ได้
ในสิ่งมีชีวิตที่เซลล์ร่างกายมีโครโมโซม 2 ชุด เรียกว่าดิพลอยด์ (diploid) เช่น คน โครโมโซมชุดหนึ่งได้รับมาจากพ่อ อีกชุดหนึ่งได้รับมาจากแม่ เมื่อมีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส โครโมโซมที่จะเป็นคู่กันและจะมาเข้าคู่กัน แล้วแยกออกจากกันไปสู่เซลล์ลูกที่สร้างขึ้น เมื่อเสร็จสิ้นการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส โครโมโซมในเซลล์ลูกที่เกิดขึ้นจะลดลงครึ่งหนึ่ง เรียกว่า แฮพลอยด์ (haploid) โดยทั่วไปแล้ว สิ่งมีชีวิตแต่ละสปีชีส์มีจำนวนโครโมโซมคงที่
ตารางแสดงจำนวนโครโมโซมของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด
สิ่งมีชีวิต |
จำนวนโครโมโซม (2n) |
---|---|
มนุษย์ (Homo sapiens) |
46 |
ลองชิมแพนซี (Pan troglodytes) |
48 |
ม้า (Equus caballus) |
64 |
สุนัข (Canis familiaris) |
78 |
แมว (Felis domesticus) |
38 |
หนู (Mus musculus) |
40 |
ไก่ (Gallus domesticus) |
78 |
กบ (Rana pipiens) |
26 |
ผึ้ง (Apis mellifera) |
32 |
แมลงวัน (Musca domestica) |
12 |
แมลงหวี่ (Drosophila melanogaster) |
8 |
ยุงก้อปล่อง (Anopheles dirus) |
6 |
สน (Pinus ponderosa) |
24 |
กะหล่ำปลี (Brassica oleracea) |
18 |
ถั่วลันเตา (Pisum sativum) |
14 |
ฝ้าย (Gossypium hirsutum) |
52 |
มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum) |
24 |
หอม (Allicum cepa) |
16 |
ยาสูบ (Nicotiana tabacum) |
48 |
ข้าว (Oryza sativa) |
24 |
ข้าวโพด (Zea mays) |
20 |
กล้วย (Musa paradisiacal) |
22 |
แตงโม (Citrullus vulgaris) |
22 |
ชา (Cemellia sinensis) |
30 |
ส่วนประกอบของโครโมโซม
ถ้าหากจะประมาณสัดส่วนระหว่าง DNA และโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของโครโมโซมของยูคาริโอต จะพบว่า ประกอบด้วย DNA 1 ใน 3 และอีก 2 ใน 3 เป็นโปรตีน โดยส่วนที่เป็นโปรตีนจะเป็น ฮิสโตน (histone ) และนอนฮิสโตน (non-histone ) อย่างละประมาณเท่าๆ กัน
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ฮิสโตนเป็นโปรตีนที่มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดอะมิโนที่มีประจุบวก (basic amino acid) เช่น ไลซีน และอาร์จีนีน ทำให้มีคุณสมบัติในการเกาะจับกับสาย DNA ซึ่งมีประจุลบได้เป็นอย่างดี และทำให้เกิดการสร้างสมดุลของประจุ (neutralize) ของโครมาทินด้วยสาย DNA พันรอบกลุ่มโปรตีนฮิสโตนคล้ายเม็ดลูกปัด เรียกโครงสร้างนี้ว่า นิวคลีโอโซม (nucleosome) โดยจะมีฮิสโตนบางชนิดเชื่อมต่อระหว่างเม็ดลูกปัดแต่ละเม็ด
ส่วนของโปรตีนนอนฮิสโตนนั้นมีมากมายหลายชนิด อาจจะเป็นร้อยหรือพันชนิด ขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งมีชีวิต โดยโปรตีนเหล่านี้จะมีหน้าที่แตกต่างกันไป บางชนิดมีหน้าที่ช่วยในการขดตัวของ DNA หรือบางชนิดก็เกี่ยวข้องกับกระบวนการจำลองตัวเองของ DNA (DNA replication) หรือการแสดงออกของยีน เป็นต้น
สำหรับในโพรคาริโอต เช่น แบคทีเรีย E. Coli มีจำนวนโครโมโซมชุดเดียว และมีโครโมโซมเพียงโครโมโซมเดียว เป็นรูปวงแหวนอยู่ในไซโทพลาซึม ประกอบด้วย DNA 1 โมเลกุล และไม่มีฮิสโตนเป็นองค์ประกอบ
จีโนม (genome)
สารพันธุกรรมทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งๆ เรียกว่า จีโนม (genome) จากการศึกษาพบว่า สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีขนาดจีโนมและจำนวนยีนแตกต่างกัน
ตารางแสดงขนาดของจีโนมในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด
สิ่งมีชีวิต |
ขนาดของจีโนม (ล้านเบสคู่) |
จำนวนยีนโดยประมาณ |
---|---|---|
มนุษย์ (Homo sapiens) |
3,200 |
80,000 |
หนู (Mus musculus) |
3,000 |
80,000 |
แมลงหวี่ (Drosophila melanogaster) |
120 |
10,000 |
หนอนตัวกลม (Caenorhabditis elegans) |
100 |
13,000 |
พืชในวงศ์ผักกาดชนิดหนึ่ง (Arabidopsis thaliana) |
100 |
25,000 |
ยีสค์ (Saccharomyces cerevisiae) |
15 |
6,000 |
แบคทีเรีย (Escherichia coli) |
4 |
4,000 |
พัดชา วิจิตรวงศ์