ใบ (leaf) ของพืชส่วนใหญ่ประกอบด้วยส่วนแบนๆ ที่แผ่ขยายออกไป เรียกว่า แผ่นใบ (blade) และมีก้านใบ (petiole) เชื่อมติดอยู่กับลำต้นหรือกิ่งทางด้านข้าง และอาจมีหูใบ (stipule) ที่โคนก้านใบ การที่ใบพืชมีลักษณะแบนมีประโยชน์โดยช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการรับแสง เพื่อให้ได้พลังงานไปใช้ในการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยในการระบายความร้อน โดยทั่วไปใบของพืชมีสีเขียวเนื่องจากมีคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นสารรับสีที่รับพลังงานแสง แต่ใบบางชนิดมีสีแดงหรือม่วง เป็นเพราะภายในใบมีการสร้างสารสีอื่นๆ เช่น แอนโทไซยานิน (anthocyanin) แคโรทีนอยด์ (carotenoid) ซึ่งถ้ามีมากกว่าคลอโรฟิลล์ก็จะทำให้ใบมีสีแดงหรือเหลือง
ในพืชใบเลี้ยงคู่จะมีเส้นใบ (vein) แตกแขนงออกมาจากเส้นกลางใบ (midrib) เพื่อให้การลำเลียงสารต่างๆ จากท่อลำเลียงไปสู่ทุกๆ เซลล์ของใบได้ทั่วถึง ก้านใบของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวอาจเป็นกาบที่มีเส้นใบขนาดใหญ่เรียงขนานกันจนถึงปลายใบ พืชบางชนิดเส้นใบย่อยแตกแขนงตั้งฉากกับเส้นใบใหญ่ เช่น ใบกล้วย และเส้นใบย่อยก็ยังเรียงขนานกันเองอีกด้วย
ใบพืชแต่ละชนิดจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น มะม่วง พริก บนก้านใบหนึ่งก้านจะมีแผ่นใบติดอยู่เพียงใบเดียว เรียกว่า ใบเดี่ยว (simple leaf) แต่ถ้าแผ่นใบหลายแผ่นหรือใบย่อย (leaflet) ติดอยู่กับใบประกอบ (compound leaf) โดยที่ซอกของใบย่อยไม่มีตาตามซอกของใบเกิดขึ้น ใบย่อยก็อาจมีก้านใบย่อยชัดเจน หรือมีแต่สั้นมาก หรือไม่มีเลย และใบย่อยที่ติดอยู่บนก้านใบจะมีลักษณะแตกต่างกัน
ใบเดี่ยวของพืชบางชนิด เช่น ใบของมันสำปะหลัง ขอบใบอาจจะหยักเว้ามากจนอาจดูคล้ายกับเหมือนมีใบย่อยเกิดขึ้น แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า บริเวณเนื้อเยื่อของแผ่นใบยังติดต่อกันเป็นชิ้นเดียวกัน ไม่ได้แยกจากกันเป็นใบย่อย
ใบประกอบของพืชบางชนิดอาจมีแกนกลางต่อออกไปจากปลายก้านใบ และมีใบย่อยจะเกิดขึ้นติดเรียงเป็นแถวกลางนี้ เช่น ใบมะขาม อัญชัน กระถิน เป็นต้น แต่ใบประกอบบางชนิดไม่มีแกนกลาง โดยใบย่อยจะติดอยู่กับบริเวณปลายก้านใบในตำแหน่งเดียวกัน เช่น ใบหนวดปลาหมึก ชมพูพันธุ์ทิพย์
โครงสร้างภายในของใบ
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อต่างๆ ดังนี้
1. เอพิเดอร์มิส (epidermis)
เป็นเนื้อเยื่อผิว มีทั้งด้านบน (upper epidermis) และด้านล่าง (lower epidermis) ประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียว หรือหลายชั้น ได้แก่ เซลล์ผิว เซลล์ขน หรือเปลี่ยนไปเป็นเซลล์คุม (guard cell) ภายในเซลล์ผิวมักไม่ค่อยมีคลอโรพลาสต์หรือมีน้อย ยกเว้นเซลล์คุม
เซลล์ผิวมีคิวทินเคลือบอยู่ที่ผนังเซลล์ด้านนอกเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำออกจากใบ เซลล์คุมมีรูปร่างคล้ายไตหรือเมล็ดถั่ว 2 เซลล์ประกบกัน พืชที่ใบลอยปริ่มน้ำ เช่น บัวสาย จะมีปากใบ (stoma) อยู่เฉพาะทางด้านบนของใบเท่านั้น ส่วนพืชที่จมอยู่ใต้ผิวน้ำ เช่น สาหร่ายหางกระรอกจะไม่มีปากใบ และไม่มีคิวทินฉาบผิว ใบพืชบางชนิดมีปากใบทั้งด้านบนและด้านล่าง เช่น ใบข้าวโพด เป็นต้น
2. มีโซฟิลล์ (mesophyll)
เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างชั้นเอพิเดอร์มิสทั้ง 2 ด้าน ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเยื่อพาเรงคิมาที่มีคลอโรพลาสต์จำนวนมาก โดยทั่วไปพาเรงคิมาในพืชใบเลี้ยงคู่จะมีเซลล์ 2 แบบ ทำให้โครงสร้างภายในแบ่งเป็น 2 ชั้นคือ
2.1) แพลิเซดมีโซฟิลล์ (palisade mesophyll) มักพบอยู่ใต้ชั้นเอพิเดอร์มิส ด้านบนประกอบด้วยเซลล์รูปร่างยาว เรียงตัวเป็นแถว ตั้งฉากกับผิวใบคล้ายรั้ว อาจมีแถวเดียว หรือหลายแถว ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์ค่อนข้างหนาแน่นมาก ทำหน้าที่สังเคราะห์แสง
2.2) สปันจีมีโซฟิลล์ (spongy mesophyll) อยู่ถัดจากแพลิเซดมีโซฟิลล์ลงมาจนถึงชั้นเอพิเดอร์มิสด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์ที่มีรูปร่างไม่แน่นอน เรียงตัวในทิศทางต่างๆ กัน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเซลล์มาก ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์หนาแน่น แต่น้อยกว่าแพลิเซดมีโซฟิลล์ ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส
3. มัดท่อลำเลียง (vascular bundle)
ประกอบด้วยไซเล็มและโฟลเอ็ม โดยไซเล็มและโฟลเอ็มจะเรียงติดต่อถึงกันอยู่ในเส้นใบ ในพืชบางชนิดมัดท่อลำเลียงจะล้อมรอบด้วยบันเดิลชีท (bundle sheath) เช่น ใบข้าวโพด บันเดิลชีทในพืชบางชนิดมีเนื้อเยื่อไฟเบอร์ช่วยทำให้มัดท่อลำเลียงแข็งแรงเร็วขึ้น ในพืชบางชนิดมีเนื้อเยื่อพาเรงคิมา ซึ่งจะมีคลอโรพลาสต์หรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช มัดท่อลำเลียงส่วนใหญ่จะอยู่ในชั้นสปันจีมีโซฟิลล์
หน้าที่และชนิดของใบ
หน้าที่สำคัญของใบ มี 3 ประการคือ
- สร้างอาหารด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis)
- หายใจ (respiration)
- คายน้ำ (transpiration)
ใบพืชแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ โดยแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 2 ชนิด คือ ใบแท้ และใบที่เปลี่ยนแปลงไป
1. ใบเลี้ยง (cotyledon)
เป็นใบแรกของพืชที่อยู่ในเมล็ด ทำหน้าที่สะสมอาหารเพื่อเลี้ยงต้นอ่อนขณะงอก ถ้าเป็นพืชใบเลี้ยงคู่จะมีใบเลี้ยง 2 ใบ แต่ถ้าเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะมีใบเลี้ยงใบเดียว เช่น อ้อย ข้าว ข้าวโพด กล้วย เป็นต้น
2. ใบแท้ (foliage leaf)
เป็นใบที่มีสีเขียว ทำหน้าที่สร้างอาหารด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่หายใจและคายน้ำด้วย ใบแท้ของพืชแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือใบเดี่ยว (simple leaf) และใบประกอบ (compound leaf)
3. ใบที่เปลี่ยนแปลงไป (modified leaf)
เป็นใบที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากใบแท้ที่มีสีเขียว และแผ่แบนไปเป็นรูปอื่นที่เหมาะสมกับหน้าที่ได้แก่
3.1) ใบสะสมอาหาร (storage leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นที่เก็บสะสมอาหาร จึงมีลักษณะอวบหนา ได้แก่ ใบเลี้ยง (cotyledon) และใบพืชอีกหลายชนิด เช่น ใบว่านหางจระเข้ หัวหอม หัวกระเทียม กาบกล้วย ส่วนกะหล่ำปลีเก็บอาหารสะสมไว้ที่เส้นใบและก้านใบ
อนึ่ง ใบเลี้ยงเป็นใบแรกที่อยู่ในเมล็ดพืช บางชนิดมีใบเลี้ยงขนาดใหญ่เนื่องจากการสะสมอาหารไว้ โดยดูดอาหารมาจากเอนโดสเปิร์ม (endosperm) เพื่อนำไปใช้ในการงอกของต้นอ่อน ใบเลี้ยงจึงมีลักษณะอวบใหญ่ ใบเลี้ยงยังมีหน้าที่ปกคลุมเพื่อป้องกันยอดอ่อนไม่ให้เป็นอันตรายในพืชบางชนิด เมื่อยอดอ่อนแทงทะลุดินขึ้นมาและเมื่อพ้นดิน
3.2) ใบดอก (floral leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปมีสีสวยงามคล้ายกลีบดอก ทำหน้าที่ช่วยล่อแมลง เช่น หน้าวัว (เป็นส่วนที่เป็นแผ่นสีแดงเรียกว่า spathe) อุตพิด คริสต์มาส เฟื่องฟ้า
3.3) ใบประดับ (bract) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่ช่วยรองรับดอกหรือช่อดอก อยู่บริเวณซอกใบ และมักมีสีเขียว แต่อาจมีสีอื่นก็ได้ ใบประดับมิได้เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของดอก ตัวอย่างเช่น กาบปลีของกล้วย กาบเขียง (ใบที่หุ้มจั่นมะพร้าวและหมาก) ของมะพร้าว และหมาก ซึ่งมีสีเขียว บางท่านจัดรวมใบดอกและใบประดับไว้เป็นชนิดเดียวกัน แต่ถ้ามีสีสวยงามเรียกว่า ใบดอก แล้วยังช่วยสร้างอาหารอีกด้วย
3.4) ใบเกล็ด (scale leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนมาจากใบแท้ เพื่อทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้แก่ตาและยอดอ่อน ใบเกล็ดไม่มีสีเขียวเพราะไม่มีคลอโรฟิลล์ เช่น ใบเกล็ดของสนทะเล ที่เป็นแผ่นเล็กๆ ติดอยู่รอบๆ ข้อ ใบเกล็ดของโปร่งฟ้า เป็นแผ่นเล็กๆ ติดอยู่ตรงข้อเช่นเดียวกัน ใบเกล็ด ของขิง ข่า เผือก แห้วจีน เป็นต้น นอกจากนี้ ใบเกล็ดบางชนิดยังสะสมอาหารไว้ด้วย ใบเกล็ดจึงมีขนาดใหญ่ เช่น หัวหอม หัวกระเทียม
3.5) เกล็ดตา (bud scale) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่หุ้มตาหรือคลุมตาไว้ เมื่อตาเจริญเติบโตออกมา จึงดันให้เกล็ดหุ้มตาหลุดไป พบในต้นยาง จำปี สาเก เป็นต้น
3.6) มือเกาะ (leaf tendril) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นมือเกาะเพื่อยึด และพยุงลำต้นให้ขึ้นสูง มือเกาะอาจเปลี่ยนมาจากใบบางส่วน หรือใบทั้งใบก็ได้ ตัวอย่างเช่น มือเกาะของถั่วลันเตา ถั่วหอม บานบุรีสีม่วง มะระ ดองดึง หวายลิงกะทกรก เป็นต้น
3.7) หนาม (leaf spine) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงเป็นหนาม เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ที่มากัดกิน พร้อมกับป้องกันการคายน้ำ เนื่องจากปากใบลดน้อยลงกว่าปกติ หนามที่เกิดอาจมีการเปลี่ยนแปลงทั้งใบกลายเป็นหนาม หรือบางส่วนของใบกลายเป็นหนามก็ได้ ตัวอย่างเช่น หนามของต้นเหงือกปลาหมอเปลี่ยนแปลงมาจากขอบใบและหูใบ หนามของต้นกระบองเพชรเปลี่ยนแปลงมาจากใบ หนามมะขามเทศเปลี่ยนแปลงมาจากหูใบ หนามของศรนารายณ์เปลี่ยนแปลงมาจากขอบใบ เป็นต้น
3.8) ฟิลโลด (phyllode หรือ Phallodeum) บางส่วนของใบเปลี่ยนแปลงไปเป็นแผ่นแบนคล้ายใบ แต่แข็งแรงกว่าปกติ ทำให้ไม่มีตัวใบที่แท้จริง จึงลดการคายน้ำได้ด้วย เช่น ใบกระถินณรงค์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากก้านใบ
3.9) ทุ่นลอย (floating leaf) พืชน้ำบางชนิดมีการเปลี่ยนแปลงก้านใบให้พองโตคล้ายทุ่น ภายในมีเนื้อเยื่อที่จัดตัวอย่างหลวมๆ ทำให้มีช่องอากาศกว้างใหญ่ สามารถพยุงลำต้นให้ลอยน้ำมาได้ เช่น ผักตบชวา
3.10) ใบแพร่พันธุ์ (vegetative reproductive organ) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อช่วยแพร่พันธุ์ โดยบริเวณของใบที่มีลักษณะเว้าเข้าเล็กน้อย มีตา (adventitious bud) ที่งอกต้นเล็กๆ ออกมาได้ ตัวอย่างเช่น ใบของต้นตายใบเป็น ต้นเศรษฐีพันล้าน ต้นโคมญี่ปุ่น เป็นต้น
3.11) ใบจับแมลง (insectivorous leaf หรือ carnivorous leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดักแมลง หรือสัตว์ขนาดเล็ก ภายในกับดักมีต่อมสร้างเอนไซม์ประเภท protease ที่ย่อยโปรตีนสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดักได้ พืชชนิดนี้มีใบปกติที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้เหมือนพืชทั่วๆ ไป แต่พืชเหล่านี้มักอยู่ในที่มีความชื้นมากกว่าปกติ อาจขาดธาตุอาหารบางชนิด จึงต้องมีส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดัก เช่น ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ต้นกาบหอยแครง ต้นหยาดน้ำค้าง ต้นสาหร่ายข้าวเหนียว หรือสาหร่ายนา เป็นต้น
พัดชา วิจิตรวงศ์