เนื้อเยื่อพืช
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
05 ก.ย. 67
 | 490 views



เนื้อเยื่อพืช (plant tissue) คือ กลุ่มเซลล์ที่อยู่รวมกันและช่วยทำหน้าที่อย่างเดียวกัน มีหลายชนิด ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะแตกต่างกันไป โดยลักษณะร่วมที่สำคัญประการหนึ่งของเซลล์พืช คือ การมีผนังเซลล์ (cell wall) ที่เป็นล้อมอยู่รอบนอก และให้ความแข็งแรงต่อโครงสร้างเซลล์พืช

 

หลังสิ้นสุดการแบ่งเซลล์ จะเกิดผนังเซลล์บางๆ (cell plate) มากั้น เมื่อเซลล์เจริญเติบโตมากขึ้น ผนังเซลล์ก็จะมีการพัฒนา และมีสารมาพอกผนังเซลล์ ประกอบด้วย 

1. middle lamella ชั้นนี้เกิดขึ้นในช่วงแรกของการแบ่งเซลล์ มีสารพวกเพคติน (pectin) ที่อยู่ในรูปแคลเซียมเพคเตต (calcium pectate) และ แมกนีเซียมเพคเตด (magnesium pectate) มาสะสม

2. primary cell wall ผนังเซลล์ปฐมภูมิ อยู่ด้านนอกสุด เกิดขึ้นเมื่อเซลล์กำลังเจริญเติบโต ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญเป็น เซลลูโลส (cellulose) เฮมิเซลลูโลส (hemicellulose) เพคติน และไกลโคโปรตีน 

3. secondary cell wall ผนังเซลล์ทุติยภูมิ เป็นผนังเซลล์ชั้นในสุด สร้างขึ้นหลังจากเซลล์หยุดขยายขนาดแล้ว มีสารที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ คือ ลิกนิน (lignin) คิวติน (cutin) ซูเบอริน (suberin) ซึ่งเป็นสารที่เพิ่มความแข็งแรง

 

ภาพ : shutterstock.com

เนื้อเยื่อของพืชชั้นสูง พวกพืชดอก flower plant หรือ angiosperm เมื่อพิจารณาตามลักษณะการเจริญของเนื้อเยื่อ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ เนื้อเยื่อเจริญ และเนื้อเยื่อถาวร

เนื้อเยื่อเจริญ (meristematic tissue)

เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยเซลล์เจริญ meristematic cell ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์ที่มีผนังเซลล์ปฐมภูมิ ซึ่งมีลักษณะบางสม่ำเสมอกัน มักมี nucleus ใหญ่มองเห็นได้ชัด มี vacuole เล็กหรือไม่มี ไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์ (intercellular spaces) ผนังเซลล์บาง และกลุ่มเซลล์เจริญนี้สามารถแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้ตลอดชีวิตของเซลล์

 

เราสามารถจำแนกตามตำแหน่งที่อยู่ในส่วนต่างๆ ของพืชได้ 3 ชนิด

1. เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย (apical meristem)

เมื่อพืชแบ่งเซลล์ จะทำให้ลำต้นยืดยาวออกไป ช่วยเพิ่มความยาว ความสูงของพืช จัดเป็นการเจริญเติบโตปฐมภูมิ primary growth เราสามารถพบได้ที่ ยอด ราก จะเรียกชื่อตามตำแหน่งที่พบนั้นๆ คือ ที่รากจะเรียกว่าเนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายราก (apical root meristem) ถ้าพบที่ยอด เรียกว่า เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายยอด (apical shoot meristem)

2. เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ (intercalary meristem)

อยู่ระหว่างข้อ ตรงบริเวณเหนือข้อล่าง หรือโคนของปล้อง มีการแบ่งเซลล์ได้ยาวนานกว่าเนื้อเยื่อบริเวณอื่นในปล้องเดียวกัน ทำให้ปล้องยาวขึ้น เป็นการเจริญเติบโตปฐมภูมิ พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น หญ้า ข้าว ข้าวโพด อ้อย และไผ่ เป็นต้น

3. เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง (lateral meristem)

อยู่ในแนวขนานกับเส้นรอบวง มีการแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนออกทางด้านข้าง เพื่อเพิ่มขนาดความกว้าง หรือเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นและราก ทำให้ลำต้นและรากขยายขนาดใหญ่ขึ้น เป็นการเจริญเติบโตขั้นที่สอง secondary growth พบได้ในพืชใบเลี้ยงคู่ทุกชนิด และพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น หมากผู้หมากเมีย จันทน์ผา ศรนารายณ์ เป็นต้น เนื้อเยื่อเจริญชนิดนี้เรียกอีกอย่างว่า แคมเบียม (cambium) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ

- วาสคิวลาร์แคมเบียม (vascular cambium) พบอยู่ระหว่างเนื้อเยื่อท่อลำเลียงน้ำ และเนื้อเยื่อท่อลำเลียงอาหาร ซึ่งเมื่อแบ่งเซลล์ทำให้เกิดเนื้อเยื่อท่อลำเลียงเพิ่มมากขึ้น
- คอร์กแคมเบียม (cork cambium) พบอยู่ในเนื้อเยื่อชั้นผิว หรือเอพิสเดอร์มิส (epidermis) หรือพบถัดเข้าไป ซึ่งเมื่อแบ่งเซลล์ทำให้เกิดเนื้อเยื่อคอร์ก (cork)

เนื้อเยื่อถาวร (permanent tissue)

เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีการเจริญเต็มที่แล้ว ซึ่งเกิดจากการที่เนื้อเยื่อเจริญมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อไปทำหน้าที่เฉพาะที่แตกต่างกันออกไป มีรูปร่างคงที่ เนื้อเยื่อถาวรจะไม่มีการแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนอีกแล้ว เนื้อเยื่อถาวรบางชนิดอาจประกอบมาจากกลุ่มเซลล์ชนิดเดียวกัน ในขณะที่บางชนิดอาจประกอบขึ้นมาจากเซลล์หลายชนิดก็ได้

 

เนื้อเยื่อเจริญสามารถจำแนกตามลักษณะของเซลล์ที่มาประกอบได้ 2 ประเภท

1. เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว (simple permanent tissue)

ประกอบขึ้นมาจากกลุ่มเซลล์เดียวกัน รูปร่างเหมือนกัน และทำหน้าที่ร่วมกัน ได้แก่

1.1) เอพิเดอร์มิส (epidermis) เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์เอพิเดอร์มอล (epidermal cell) ที่มีลักษณะแบน ซึ่งกลุ่มเซลล์มักจะเรียงตัวกันเพียงชั้นเดียว โดยมีการเรียงตัวอัดแน่นจนไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์ ไม่มีคลอโรพลาสต์ และมักพบคิวตินมาเคลือบหนาเป็นชั้น (cuticle) เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ แต่จะไม่พบในรากเอพิเดอร์มิสเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่รอบนอกสุดของส่วนต่างๆ ของพืช พบได้ทั่วไปตามส่วนต่างๆ ของพืชที่มีอายุน้อยๆ ทำหน้าที่ป้องกันเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านใน สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นได้ เช่น เซลล์คุม (guard cell) ขนราก (root hair) ขนหรือหนาม (trichome)
1.2) พาเรงคิมา (parenchyma) เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์พาเรงคิมา (parenchyma cell) เป็นเซลล์ที่มีชีวิต ผนังเซลล์บางสม่ำเสมอ เป็นผนังเซลล์ปฐมภูมิ มีรูปร่างได้หลายแบบ หน้าตัดค่อนข้างกลม มีช่องว่างระหว่างเซลล์ ถ้ามีคอลโรพลาสต์จะเรียกว่า chlorenchyma พารเรงคิมาเป็นเนื้อเยื่อพื้นฐานของพืช มีหน้าที่สะสมอาหาร สังเคราะห์ด้วยแสง หลั่งสารพวกแทนนิน ฮอร์โมน เอนไซม์ เป็นต้น มีความสามารถแปรสภาพกลับกลาย (redifferentiation) มาแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้อีก
1.3) คอลเลงคิมา (collenchyma) เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์คอลเลงคิมา (collenchyma cell) เป็นเซลล์ที่มีชีวิต มีลักษณะคล้ายพาเรงคิมาแต่ยาวกว่า และมีผนังเซลล์หนาไม่สม่ำเสมอกัน พบมากบริเวณใต้เอพิเดอร์มิสของก้านใบ เส้นกลางใบ ช่วยเพิ่มความแข็งแรง
1.4) สเคอเรงคิมา (sclerenchyma) เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์สเคอเรงคิมา (sclerenchyma cell) เป็นเซลล์ที่ไม่มีชีวิตแล้ว มีผนังเซลล์ทั้งสองขั้นที่ค่อนข้างหนาหรือหนามาก ช่วยพยุงและให้ความแข็งแรงให้กับพืช สามารถจำแนกตามรูปร่างเซลล์ได้เป็น 2 ชนิด คือ  ไฟเบอร์ (fiber) เป็นเส้นใย รูปร่างเรียวยาว หัวท้ายแหลม
1.5) สเกลอรีด (sclereid หรือ stone cell) รูปร่างไม่ยาวมากนัก มีหลายแบบ เช่น รูปดาวหลายเหลี่ยม พบตามส่วนที่แข็งของพืช เช่น กะลา เปลือกหุ้มเมล็ด ฯลฯ
1.6) คอร์ก (cork) เกิดจากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสของ cork cambium บริเวณใกล้ๆ กับเอพิเดอร์มิส เรามักพบบริเวณนอกสุดของลำต้น กิ่ง ก้าน และพบในพืชที่มีอายุมากแล้ว มีหน้าที่ป้องกันการระเหยของน้ำและเซลล์จะตายเมื่อโตเต็มที่

2. เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน (complex permanent tissue)

ประกอบขึ้นมาจากเซลล์หลายชนิดที่ร่วมทำหน้าที่เดียวกัน ได้แก่

2.1) ไซเล็ม (xylem) ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุไปยังส่วนต่างๆ ของพืช เรียกว่า conduction ประกอบขึ้นมาจากเซลล์ 4 ชนิด คือ

- ไซเลมพาเรงคิมา (xylem parenchyma) เป็นเซลล์มีชีวิต ผนังหนากว่า parenchyma ทั่วไป ช่วยสะสมอาหาร และลำเลียงในแนวราบ 
- เทรคีต (tracheid) เป็นเซลล์ตาย รูปร่างเรียวยาวมีรูพรุน ปลายสองด้านเรียวแหลม  ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุอาหารจากรากไปสู่ส่วนต่างๆ ของพืช พบในพืชกลุ่ม gymnosperm เช่น สน ปรง
- เวสเซลเมมเบอร์ (vessel member) เป็นเซลล์ตาย รูปร่างอ้วนสั้น หัวท้ายทะลุถึงกันเหมือนท่อประปา
- ไฟเบอร์ (fiber) เป็นเซลล์ตาย ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับท่อไซเล็ม 

2.2) โฟลเอ็ม (phloem) ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารสารอินทรีย์จากใบไปส่วนต่างๆ การลำเลียงทางโฟลเอ็ม เรียกว่า translocation ประกอบขึ้นมาจากเซลล์ 4 ชนิด คือ

- โฟลเอ็มพาเรงคิมา (phloem parenchyma) เซลล์มีชีวิต ช่วยสะสมอาหาร และลำเลียงในแนวราบ 
- ซีฟทิวบ์เมมเบอร์ (sieve tube member) เป็นเซลล์ที่มีชีวิต ตอนเกิดใหม่มีนิวเคลียส แต่เมื่อโตได้ถูกสลายไป ซึ่งจะมาเรียงต่อกันเป็นท่อลำเลียงอาหาร
- คอมพาเนียนเซลล์ (companion cell) เป็นเซลล์ติดกับซีฟทิวบ์เมมเบอร์ มีต้นกำเนิดจากเซลล์เดียวกัน มีนิวเคลียสและโปรโตพลาซึมเข้มข้น เพื่อช่วยซีฟทิวบ์เมมเบอร์ในการขนส่งน้ำตาลไปยังส่วนต่างๆ ของพืช
- ไฟเบอร์ (fiber) เป็นเซลล์ตาย ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับท่อโฟลเอ็ม

เนื้อเยื่อถาวรสามารถจำแนกตามหน้าที่ได้ 3 ระบบ คือ

ก. ระบบเนื้อเยื่อผิว (dermal system) ประกอบด้วย epidermis, cork

ข. ระบบเนื้อเยื่อพื้น (ground system) ประกอบด้วย parenchyma, collenchyma, sclerenchyma

ค. ระบบเนื้อเยื่อลำเลียง (vascular system) ประกอบด้วย xylem, phloem

 

แผนผังสรุปชนิดของเนื้อเยื่อพืช

พัดชา วิจิตรวงศ์