การลำเลียงสารในร่างกายของคน
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
15 ก.ย. 67
 | 9.9K views



ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องลำเลียงสารไปสู่เซลล์ตามส่วนต่างๆ แล้วนำสารที่ร่างกายไม่ต้องการ ไปกำจัดออก โดยระบบหมุนเวียนเลือดของคนเป็นแบบปิด มีหัวใจเป็นอวัยวะสูบฉีดเลือดให้ไหลเวียนไปตามเส้นเลือด และอยู่ภายในเส้นเลือดตลอดเวลา 

 

หัวใจ (Heart)

หัวใจของคนที่โตเต็มวัยจะมีขนาดกว้างประมาณ 9 เซนติเมตร ยาว 12.5 เซนติเมตร และหนา 5 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 300 กรัม มีตำแหน่งอยู่ภายในช่องอกระหว่างปอดทั้ง 2 ข้างค่อนไปทางซ้ายเล็กน้อย หัวใจอยู่ภายในถุงเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardium) ซึ่งจะมีของเหลวที่สร้างจากเยื่อหุ้มหัวใจ ทำหน้าที่หล่อลื่นและป้องกันการเสียดสีระหว่างหัวใจกับปอดขณะหัวใจบีบตัว หัวใจมีหลอดเลือดนำเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เรียกว่า โคโรนารีอาร์เตอรี (coronary artery) ส่วนเลือดที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจแล้ว จะเข้าสู่หลอดเลือดโคโรนารีเวน (coronary vein) และไหลเข้าสู่หัวใจห้องบนขวา (right atrium)

หัวใจประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น ชั้นนอกและชั้นในมีลักษณะบาง ประกอบด้วย เนื้อเยื่อบุผิว ส่วนเนื้อเยื่อชั้นกลางหนามาก ประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) แบ่งเป็น 4 ห้อง คือ ห้องบน (atrium) 2 ห้อง และห้องล่าง (ventricle) 2 ห้อง แต่ละห้องแยกกันอย่างสมบูรณ์ 

 

การหมุนเวียนเลือดของคน

หัวใจห้องบนขวา หรือเอเตรียมขวา จะรับเลือดจากหลอดเลือดเวนใหญ่ 2 เส้น คือ ซุพีเรียเวนาคาวา (superior venacava) ที่นำเลือดมาจากส่วนหัวและแขน และอินฟีเรียเวนาคาวา (inferior venacava) ซึ่งนำเลือดมาจากส่วนลำตัวและขาเข้าสู่หัวใจ

เมื่อหัวใจห้องบนขวาบีบตัว เลือดจะไหลเข้าสู่ห้องล่างขวา (right ventricle) โดยผ่านลิ้นไตรคัสปิด (tricuspid valve) ที่กั้นระหว่างห้องบนขวาและห้องล่างขวา เมื่อห้องล่างขวาบีบตัวเลือดจะไหลผ่านลิ้นพัลโมนารีเซมิลูนาร์ (pulmonary semilunar valve) ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นครึ่งวงกลม 3 แผ่น เลือดเข้าสู่หลอดเลือดพัลโมนารีอาร์เตอรี (pulmonary artery) หลอดเลือดนำเลือดไปยังปอดเพื่อแลกเปลี่ยนแก๊ส ทำให้เลือดมีปริมาณออกซิเจนสูง เลือดจึงไหลกลับเข้าสู่หัวใจทางพัลโมนารีเวน (pulmonary vein) เข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย (left atrium) เมื่อห้องบนซ้ายบีบตัว เลือดก็จะไหลผ่านลิ้นไบคัสปิด (bicuspid valve) ไปยังหัวใจห้องล่างซ้าย (left ventricle) เมื่อห้องล่างซ้ายบีบตัว เลือดก็จะไหลเข้าสู่เอออร์ตา ซึ่งมีลิ้นเอออร์ติกเซมิลูนาร์ (aortic semilunar valve) ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับลิ้นพัลโมนารีเซมิลูนาร์ ทำหน้าที่กั้นไม่ให้เลือดไหลกลับ จากหลอดเลือดเอออร์ตาก็จะไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย

 

จังหวะการเต้นของหัวใจ (heart rhythm)

กล้ามเนื้อหัวใจสามารถบีบตัวหรือทำจังหวะเองได้ เนื่องจากภายในหัวใจมีบริเวณที่ทำหน้าที่ เป็นตัวควบคุมให้กล้ามเนื้อหัวใจหดตัว บริเวณดังกล่าวนี้ คือ ไซโนเอเทรียล โนด (sinoatrial node) หรือ เอสเอ โนด (SA node) เป็นผู้ทำจังหวะ (pacemaker) อยู่ที่ผนังหัวใจห้องบนขวาใกล้กับหลอดเลือดดำใหญ่ซูพีเรีย เวนาคาวา 

เอสเอ โนด เป็นกล้ามเนื้อพิเศษเนื่องจากสามารถส่งกระแสความรู้สึกได้เช่นเดียวกับเซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อหัวใจเอง ก็สามารถส่งกระแสความรู้สึกจากเซลล์หนึ่งไปยังเซลล์หนึ่งได้เนื่องจากมี intercalated disk จึงทาให้กระแสความรู้สึกจากเอสเอ โนด กระจายไปทั่วกล้ามเนื้อหัวใจห้องบนอย่างรวดเร็ว ทาให้บีบตัวได้

ขณะเดียวกันกระแสความรู้สึกจะส่งไปยังเอทริโอเวนตริคูลาร์โนด (atrioventricular node) หรือ เอวีโนด (AV node) ตั้งอยู่บนหัวใจห้องบนขวาใกล้กับผนังที่กั้นระหว่างห้องบนทั้งสอง

เอวี โนด เป็นกล้ามเนื้อพิเศษ เช่นเดียวกับ เอสเอ โนด เมื่อกระแสความรู้สึกมาถึงเอวี โนด จะพักประมาณ 0.1 วินาที เพื่อแน่ใจว่าหัวใจห้องบนบีบตัวและปล่อยเลือดลงสู่ห้องล่างหมดแล้ว หัวใจห้องล่างจึงบีบตัว การบีบตัวของหัวใจห้องล่างจะไม่เป็นคลื่นของการบีบตัวเช่นที่เกิดในหัวใจห้องบน แต่กล้ามเนื้อของหัวใจห้องล่างจะบีบตัวพร้อมกัน เนื่องจากกระแสความรู้สึกจากเอวี โนด ส่งออกไปเร็วมาก ทำให้กล้ามเนื้อทั้งหมดถูกกระตุ้นและหดตัวพร้อมกัน จนเกิดแรงดันมากพอที่จะส่งเลือดออกไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายได้

 

ความดันเลือด (blood pressure)

แรงดันของเลือดที่ไปดันผนังหลอดเลือดมาจากหัวใจบีบตัวดันเลือดออกไป และความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือดทาให้เกิดแรงดันขึ้น ความดันเลือดมักวัดจากหลอดเลือดอาร์เตอรีที่มีความดันมากที่สุดตอนหัวใจหดตัว และน้อยที่สุดตอนหัวใจคลายตัว

ความดันเลือดจะสูงต่ำตามจังหวะการบีบของหัวใจ ความดันสูงสุดเกิดขณะหัวใจบีบตัว เรียกว่า ความดันซิสโทลิก (systolic pressure) ความดันต่ำสุดเกิดขณะหัวใจคลายตัว เรียกว่า ความดันไดแอสโทลิก (diastolic pressure)

เครื่องมือที่ใช้วัดความดันโลหิต คือ sphygmomanometer มีหน่วยเป็นมิลลิเมตรของปรอท โดยวัดจากหลอดเลือดแดงตรงแขนด้านบน ซึ่งความดันเลือดในหลอดเลือดขนาดต่างๆ จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระยะที่ห่างจากหัวใจ

ความดันปกติขณะหัวใจบีบตัวหาได้จากค่า ความดันโลหิต=100+อายุของคนนั้นๆ เช่น อายุ 30 ปี ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวควรเท่ากับ 100+30=130 มิลลิเมตรปรอท ในคนหนุ่มสาวปกติ จะมีความดันเลือด 120/80 มิลลิเมตรปรอท ตัวเลขแรก หมายถึง ค่าความดันเลือดสูงสุดขณะหัวใจบีบตัว (systolic pressure) ตัวเลขหลัง หมายถึง ค่าความดันเลือดต่ำสุดขณะหัวใจ คลายตัว (diastolic pressure) ปัจจัยที่มีผลต่อความดันเลือด คือ อายุ เพศ ขนาดของร่างกาย การออกกำลังกาย แรงดึงดูดของโลก

 

เส้นเลือด (blood vessel)

แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

1. เส้นเลือดแดง (artery) นำเลือดออกจากหัวใจไปยังเส้นเลือดฝอย ประกอบด้วย เอออร์ตา (aorta) มีขนาดใหญ่ที่สุด อาร์เตอรี (artery) ขนาดต่างๆ และอาร์เตอริโอล (arteriole) 

หลอดเลือดแดงยืดหยุ่นได้ดี เนื่องจากมีอีลาสติกไฟเบอร์ (elastic Fiber) อยู่มาก เส้นเลือดแดงมีผนังหนา เนื่องจากมีกล้ามเนื้อเรียบค่อนข้างมาก เพื่อต้านทานแรงดันของเลือดที่ส่งออกจากหัวใจและปรับระดับความดันเลือดไม่ให้ลดลงมากหนัก

2. เส้นเลือดดำ (vein) นำเลือดจากปอดและส่วนต่างๆ ของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจ ประกอบด้วย เวนาคาวา (vena cava) มีขนาดใหญ่ที่สุด เวน (vein) ขนาดต่างๆ และเวนูล (Venule)

เส้นเลือดดำสามารถยืดขยายได้ดีจึงมีความจุสูง ความดันในเส้นเลือดดำต่ำ จึงมีลิ้นอยู่ด้วยเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ (ใช้ในการเจาะเลือด/บริจาคเลือด )

3. เส้นเลือดฝอย (capillary) อยู่ระหว่างเส้นเลือดแดงอาเตอริโอล และเส้นเลือดดำเวนูล มีขนาดเล็กที่สุด ผนังประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียว สานกันเป็นตาข่ายร่างแหแทรกอยู่ทุกส่วนของร่างกาย เส้นเลือดฝอยมีขนาดเล็กและผนังบางมาก ทำให้เลือดไหลผ่านเส้นเลือดฝอยอย่างช้าๆ และเกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซ สารอาหาร และของเสียต่างๆ ระหว่างเลือดในเส้นเลือดฝอยและเซลล์

 

เลือด (blood)

ทำหน้าที่นำสารอาหารและออกซิเจนไปให้เซลล์ และยังนำของเสียที่เซลล์ไม่ต้องการไปกำจัดออกนอกร่างกาย ในร่างกายของคนจะมีเลือดอยู่ประมาณ 7-8 % ของน้ำหนักตัว ถ้านำเลือดไปปั่นแยก จะพบว่าเลือดถูกแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ น้ำเลือดหรือพลาสมา (plasma) กับเซลล์ และชิ้นส่วนของเซลล์ (formed elements) 

1. น้ำเลือด (plasma) เป็นส่วนที่เป็นของเหลวค่อนข้างใส มีสีเหลืองอ่อน ค่อนข้างใส มีปริมาณ 55% ของปริมาตรเลือด ประกอบด้วยน้ำประมาณ 90-93% และโปรตีน 7-10% ที่สำคัญคือ อัลบูมิน (albumin) และโกลบูลิน (globulin) องค์ประกอบอื่นๆ เช่น แร่ธาตุ หรืออิออนสารอาหาร เอนไซม์ ฮอร์โมน เป็นต้น

นอกจากน้ำเลือดจะทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหาร แร่ธาตุ ฮอร์โมน แอนติบอดีแล้ว ยังช่วยรักษาสมดุลความเป็นกรด-เบส สมดุลน้ำ และรักษาอุณหภูมิของร่างกาย

 

2. เซลล์และชิ้นส่วนของเซลล์ (formed elements) มีปริมาณ 45% ของปริมาตรเลือดทั้งหมด ประกอบด้วย เม็ดเลือดแดง (erythrocyte) เม็ดเลือดขาว (leukocyte) และเกล็ดเลือด (blood platelet)

         2.1) เม็ดเลือดแดง (erythrocyte) เป็นเม็ดเลือดที่มีปริมาณมากที่สุด โดยในคนเรามีเลือด 5 ลิตร เป็นเม็ดเลือดแดง 25 ล้านล้านเม็ด เม็ดเลือดแดงของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีลักษณะกลมแบน เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7-8 ไมครอน ตรงกลางเว้าเข้าหากัน (biconcave) เนื่องจากไม่มีนิวเคลียส และไมโตคอนเดรีย

เม็ดเลือดแต่ละเม็ดจะบรรจุฮีโมโกลบิน (hemoglobin) ได้ 250 ล้านโมเลกุล โดยฮีโมโกลบิน 1 โมเลกุล ประกอบด้วยโปรตีนโกลบิน (globin) 1 โมเลกุล ซึ่งประกอบด้วยสายโพลีเพปไทด์ 4 สายจับกับฮีม (heme) 4 โมเลกุล แต่ละฮีมจะมี Fe2+ 1 อะตอม สามารถจับออกซิเจนได้ 1 โมเลกุล

ดังนั้น ฮีโมโกลบิน 1 โมเลกุล จะมี Fe2+ 4 อะตอม และสามารถจับออกซิเจนได้ 4 โมเลกุล จะเกิดสภาพออกซีฮีโมโกลบิน (oxyhemoglobin) ซึ่งมีสีแดง เมื่อออกซีฮีโมโกลบินปล่อยออกซิเจนให้แก่เซลล์แล้ว จะอยู่ในรูปฮีโมโกลบินปกติซึ่งมีสีน้าเงิน เม็ดเลือดแดงของคนเราจะอยู่ในระบบหมุนเวียนสารเป็นเวลา 120 วัน หลังจากนั้น จะถูกทำลายที่ตับ และม้าม หรือที่ต่อมน้ำเหลือง

         2.2) เม็ดเลือดขาว (leucocyte หรือ white blood corpuscle) สร้างจากไขกระดูก มีนิวเคลียส มีหน้าที่สำคัญคือ ต่อต้านและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย โดยเม็ดเลือดขาวของสัตว์เลือดลูกด้วยนม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มที่ไม่มีแกรนูล (agranulocyte) ลักษณะคือ มีนิวเคลียส1 พู มีแกรนูลของไลโซโซมในไซโทพลาสซึม ได้แก่

                  - ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) มีประมาณ 20-25% มีอายุ 2-3 ชั่วโมง เป็นเซลล์รูปร่างกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7-9 ไมโครเมตร มีนิวเคลียสกลม ในขณะที่อยู่ในต่อมน้ำเหลืองจะมีหน้าที่สร้าง antibody และทำลายสิ่งแปลกปลอมโดยวิธีฟาโกไซโตซิส ซึ่งแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ ลิมโฟไซต์ชนิดบี (B-lymphocyte) หรือ B-cell และลิมโฟไซต์ชนิดที (T-lymphocyte) หรือ T-cell
                  - โมโนไซต์ (monocyte) มีประมาณ 3-8 % มีอายุ 2-3 วัน แต่ถ้าอยู่ในเนื้อเยื่อกระดูกจะมีอายุยาวนาน 72 วัน เป็นเซลล์รูปกลมขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12-20 ไมโครเมตร มี นิวเคลียสเป็นรูปไต หรือเกือกม้า จำนวน 1 พู ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีฟาโกไซโตซิส

กลุ่มที่มีแกรนูล (granulocyte) ลักษณะคือ มีนิวเคลียสรูปร่างหลายแบบ มีจำนวนพูมากกว่า 1 พู มีแกรนูลของไลโซโซม และมีแกรนูลพิเศษขนาดใหญ่ในไซโทพลาสซึม ได้แก่

                  - นิวโทรฟิล (neutrophil) เป็นเซลล์รูปร่างกลมขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12-15 ไมโครเมตร มีอายุ 6-9 วัน พบประมาณ 60-70% มีนิวเคลียสหลายพู
                  - อีโอซิโนฟิล (eosinophil) เป็นเซลล์ขนาดกลาง มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-15 ไมโครเมตร มีอายุ 8-12 วัน พบประมาณ 2-5% มีนิวเคลียส 2 พู และไม่เห็นนิวคลีโอลัส
                  - เบโซฟิล (basophil) เป็นเซลล์รูปร่างกลมขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12-15 ไมโครเมตร มีอายุ 3-7 วัน พบประมาณ 0.5-1% มีนิวเคลียสรูปร่างเป็นตัว S หรือบางครั้งเป็น แถบยาว มีแกรนูลพิเศษขนาดใหญ่จำนวนมากกระจายบดบังบริเวณนิวเคลียส 

         2.3) เกล็ดเลือด (platelet) เกิดจากชิ้นส่วนของไซโทพลาสซึมของเซลล์ ที่มีขนาดใหญ่ในกระดูกที่แตกออกจากกัน และหลุดเข้าสู่หลอดเลือด มีลักษณะเป็นแผ่นกลม ไม่มีนิวเคลียส มีรูปร่างไม่แน่นอน เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 ไมโครเมตร (มีขนาดเล็กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงประมาณ 4 เท่า) มีประมาณ 2.5-5 แสนชิ้นในเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร มีอายุสั้นประมาณ 3-4 วันเท่านั้น มีหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว (blood clotting) โดยการสร้างสารทรอมโบพลาสติน (thromboplastin) ออกมา

 

หมู่เลือด (Blood group)

1. ระบบหม่เลือด ABO

จากผลงานการศึกษาของ นายแพทย์คาร์ล แลนด์สไตเนอร์ (Karl Landsteiner) นักวิทยาศาสตร์ชาวเวียนนา ซึ่งค้นพบว่าเลือดของคนอาจแตกต่างกันในคุณสมบัติทางเคมีบางอย่าง และการจับกลุ่มตกตะกอนของเม็ดเลือดแดงเกิดขึ้นได้เมื่อเลือดของผู้ให้ และผู้รับ ไม่สามารถเข้ากันได้ เพราะคนที่มีเลือดต่างกันนั้นมีสารพวกโปรตีนภายในพลาสมาที่เรียกว่า แอนติบอดี (antibody) ที่หมุนเวียนไปทั่วร่างกายแตกต่างกัน และมีสารเคมีที่เรียกว่า แอนติเจน (antigen) อยู่ที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเม็ดเลือดแดงแตกต่างกันไปด้วย

แลนด์สไตเนอร์ได้แบ่งชนิดเลือดของคนออกเป็น 4 หมู่ ตามระบบการจำแนกแบบ ABO ตามสมบัติของแอนติบอดี และแอนติเจนในเลือดของแต่ละคน คือ หมู่ A B AB และ O

 

2. ระบบหมู่เลือด Rh

นอกเหนือจากหมู่เลือด ABO ที่กล่าวมาแล้ว จากการศึกษาต่อๆ มาพบว่าในเลือดของแต่ละคนยังมีแอนติเจนชนิดอื่นอีกหลายระบบ อีกระบบที่รู้จักกันดีคือ ระบบหมู่เลือด Rh ซึ่งคำว่า Rh มาจากคาว่า rhesus monkey ซึ่งเป็นชื่อลิงชนิดหนึ่งที่แอนติเจนนี้ถูกค้นพบครั้งแรก ระบบหมู่เลือด Rh แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ตามผลการตรวจสอบคือ

                  2.1) Rh+ คือ เลือดที่มีแอนติเจน Rh อยู่บนผิวเซลล์เม็ดเลือดแดง แต่ไม่มีแอนติบอดี Rh ในน้าเลือดของคนไทยประมาณร้อยละ 90 จะเป็น Rh+

                  2.2) Rh- คือ เลือดที่ไม่มีแอนติเจน Rh อยู่บนผิวเซลล์เม็ดเลือดแดง และน้ำเลือดก็ไม่มี แอนติบอดี Rh แต่สามารถสร้างแอนติบอดี Rh ได้เมื่อได้รับแอนติเจน Rh (Rh+)

ดังนั้น ในการให้เลือดจะต้องคำนึงถึงปัจจัย Rh ด้วย เพราะถ้าเลือดผู้รับเป็น Rh- แล้วได้รับเลือด Rh+ ของผู้ให้เข้าไป ร่างกายของผู้รับก็จะถูกกระตุ้นให้สร้างแอนติบอดี Rh ขึ้นได้ ทำให้ในการให้เลือด Rh+ ครั้งต่อไป แอนติบอดี Rh ในร่างกายของผู้รับจะต่อต้านกับแอนติเจนจากเลือดของผู้ให้ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 

 

หลักในการถ่ายเลือด

แอนติเจนของผู้ให้ต้องไม่ตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ เช่น คนที่หมู่เลือด A จะมีแอนติเจน A และมีแอนติบอดี B ดังนั้น คนหมู่เลือด A ไม่สามารถให้เลือดแก่คนที่หมู่เลือด B ได้ เพราะหมู่เลือด B มีแอนติเจน B และแอนติบอดี A (แอนติเจนตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ) ทำให้เลือดตกตะกอน

ส่วนหมู่เลือด O ไม่มีแอนติเจน ดังนั้น จึงสามารถถ่ายเลือดให้ผู้รับได้ทุกหมู่ จึงเรียกหมู่เลือด O ว่าผู้ให้สากล (universal donor) แต่จะรับเลือดจากหมู่เลือดอื่นไม่ได้เลย เพราะมีแอนติบอดีทั้ง A และ B

ส่วนหมู่เลือด AB มีแอนติเจน A และ B ดังนั้น จึงไม่สามารถถ่ายเลือดให้หมู่เลือดอื่นได้เลย เป็นผู้รับอย่างเดียวเท่านั้น เรียกหมู่เลือด AB ว่าเป็น ผู้รับสากล (universal recipient)

 




พัดชา วิจิตรวงศ์