บทเรียนออนไลน์ วิชาภาษาไทย เรื่อง การท่องจำคำประพันธ์
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
18 ม.ค. 65
 | 15.6K views



ผังมโนทัศน์สาระการเรียนรู้





หลักทั่วไปของการท่องจำคำประพันธ์
   ๑) กวาดสายตาไปแต่ละวรรคเพื่ออ่านล่วงหน้าและเพื่อให้การอ่านมีความต่อเนื่อง
   ๒) เปล่งเสียงให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ปรับระดับเสียงสูง - ต่ำให้สอดคล้องเนื้อหาที่อ่าน
   ๓) ทำความเข้าใจความหมายของเนื้อหาที่อ่าน
   ๔) แยกวรรคตอนให้ถูกต้องตามชนิดของคำประพันธ์
   ๕) ใช้น้ำเสียงให้เหมาะสมกับอารมณ์ของเนื้อหาที่อ่าน



ขั้นตอนการท่องจำคำประพันธ์เป็นทำนองเสนาะ
   ๑) ฝึกอ่านเป็นร้อยแก้วธรรมดาให้ออกเสียงถูกต้องชัดเจนก่อน
   ๒) แบ่งจังหวะวรรคตอนให้ถูกต้อง
   ๓) ท่องสัมผัสคล้องจองที่มีความไพเราะ
   ๔) ท่องให้ถูกต้องตามทำนองของคำประพันธ์แต่ละชนิด
   ๕) ใช้น้ำเสียงเหมาะสมกับเนื้อหา



การท่องจำคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ
   โคลงสี่สุภาพ
   ๑) ทอดเสียงแต่ละวรรคให้ตรงตามจังหวะ
   ๒) คำเสียงจัตวาท้ายวรรค ให้เอื้อนเสียงสูงเป็นพิเศษ
   ๓) คำหลังบาทที่ ๒ ให้เอื้อนเสียงต่ำกว่าปกติ
   ๔) โคลงสี่สุภาพหนึ่งบทมี ๔ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคหน้าของทุกบาทมี ๕ คำ วรรคหลังของบาทที่ ๑ ถึง ๓ มี ๒ คำ แต่สามารถเพิ่มคำสร้อยที่ท้ายบาท ๑ และ ๓ ได้อีกบาทละ ๒ คำ ส่วนวรรคหลังของบาทที่ ๔ จะมี ๔ คำ

 


   ฉันท์
   มีลักษณะพิเศษที่ก่อให้เกิดความไพเราะมากกว่าคำประพันธ์ชนิดอื่น คือ ใช้ คำครุ คำลหุ แทนคำธรรมดาซึ่งคำทั้ง ๒ ชนิดมีลักษณะ ดังนี้ 




   การท่องจำคำประพันธ์ประเภทฉันท์ มีหลักดังนี้
   – อ่านทอดจังหวะตามชนิดของฉันท์ โดยออกเสียงคำครุ คำลหุให้ชัดเจน
   – หากคำสุดท้ายของวรรคเป็นเสียงจัตวา ให้ออกเสียงสูงเป็นพิเศษ
       ๑) อินทรวิเชียรฉันท์ บทหนึ่งมี ๒ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค แบ่งเป็นวรรคหน้า ๕ คำ วรรคหลัง ๖ คำ
       ๒) สาลินีฉันท์ บทหนึ่งมี ๒ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค แบ่งเป็นวรรคหน้า ๕ คำ วรรคหลัง ๖ คำ
       ๓) วสันตดิลกฉันท์ บทหนึ่งมี ๒ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค แบ่งเป็นวรรคหน้า ๘ คำ วรรคหลัง ๖ คำ

 


   ร่าย หนึ่งบทไม่จำกัดจำนวนวรรคหรือจำนวนบาท แต่บทหนึ่งมักแต่งตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป
   การท่องจำคำประพันธ์ประเภทร่าย มีหลักดังนี้
   – อ่านด้วยทำนองเสียงสูงระดับเดียวกันและลงจังหวะทอดเสียงที่ท้ายวรรค หากเป็นร่ายสุภาพ ช่วงท้ายที่เป็นโคลงสองสุภาพจะอ่านช้าลงและทอดเสียงมากกว่า
   – ใช้น้ำเสียง ลีลา ความช้าเร็ว ให้เหมาะสมกับอารมณ์ของเนื้อหา
   – ร่ายที่วรรคหนึ่งมีมากกว่า ๕ คำ พยายามอ่านให้จบวรรคในลมเดียว หรืออาจลักหายใจช่วงการทอดเสียงท้ายวรรค หรือตรงช่วงแบ่งวรรคได้
   – คำสุดท้ายของบทต้องอ่านทอดเสียงให้ยาวกว่าปกติ
   ร่ายเป็นคำประพันธ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ นิยมใช้เป็นบทนำหรือบทไหว้ครูของลิลิต แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ
   ๑) ร่ายโบราณ ไม่บังคับคำเอกคำโท แต่บังคับคำสุดท้ายของวรรคต้องสัมผัสกับคำที่ ๑ ๒ หรือ ๓ ของวรรคถัดไปและสามารถเติมคำสร้อยได้อีก ๒ คำท้ายบท หรือจะเติมสลับไปทุกวรรคก็ได้
   ๒) ร่ายสุภาพ เป็นที่นิยม เพราะมีแบบแผนมากกว่าร่ายชนิดอื่น คือจบด้วยโคลงสองสุภาพ หรือโคลงสามสุภาพ การรับส่งสัมผัสและการเติมคำสร้อยเหมือนกับร่ายโบราณ ยกเว้น ๓ วรรคสุดท้ายที่เป็นโคลงจะไม่มีการเติมคำสร้อยแบบสลับวรรค
   ๓) ร่ายยาว คล้ายบทร้อยแก้วธรรมดาที่มีสัมผัสระหว่างวรรค ในแต่ละวรรคใช้คำได้ ๕-๑๔ คำ และสัมผัสตรงไหนก็ได้ นิยมใช้กับบทเทศน์หรือบทสวด
   ๔) ร่ายดั้น จะมีกี่วรรคก็ได้ แต่ต้องจบด้วยบาทที่ ๓ และ ๔ ของโคลงดั้นวิวิธมาลี การรับส่งสัมผัสเหมือนร่ายอื่น ๆ ยกเว้น ๕ วรรคสุดท้าย ที่คำสุดท้ายของวรรคแรกในจำนวน ๕ วรรคนี้ จะสัมผัสกับคำแรกของวรรคถัดไป และหลังจากนั้นจะไม่มีการรับส่งสัมผัสอีก แต่จะมีการบังคับคำเอกคำโท เหมือนที่บังคับในบาทที่ ๓ และ ๔ ของโคลงดั้นวิวิธมาลี ทั้งนี้อาจมีคำสร้อยท้ายบทได้อีก ๒ คำ



คำสำคัญ คำประพันธ์ ทำนองเสนาะ โคลงสี่สุภาพ ฉันท์ ร่าย 

 



แหล่งที่มา : สำนักพิมพ์ วัฒนาพานิช www.wpp.co.th