ผังมโนทัศน์สาระการเรียนรู้
หลักทั่วไปของการท่องจำคำประพันธ์
๑) กวาดสายตาไปแต่ละวรรคเพื่ออ่านล่วงหน้าและเพื่อให้การอ่านมีความต่อเนื่อง
๒) เปล่งเสียงให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ปรับระดับเสียงสูง - ต่ำให้สอดคล้องเนื้อหาที่อ่าน
๓) ทำความเข้าใจความหมายของเนื้อหาที่อ่าน
๔) แยกวรรคตอนให้ถูกต้องตามชนิดของคำประพันธ์
๕) ใช้น้ำเสียงให้เหมาะสมกับอารมณ์ของเนื้อหาที่อ่าน
ขั้นตอนการท่องจำคำประพันธ์เป็นทำนองเสนาะ
๑) ฝึกอ่านเป็นร้อยแก้วธรรมดาให้ออกเสียงถูกต้องชัดเจนก่อน
๒) แบ่งจังหวะวรรคตอนให้ถูกต้อง
๓) ท่องสัมผัสคล้องจองที่มีความไพเราะ
๔) ท่องให้ถูกต้องตามทำนองของคำประพันธ์แต่ละชนิด
๕) ใช้น้ำเสียงเหมาะสมกับเนื้อหา
การท่องจำคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ
โคลงสี่สุภาพ
๑) ทอดเสียงแต่ละวรรคให้ตรงตามจังหวะ
๒) คำเสียงจัตวาท้ายวรรค ให้เอื้อนเสียงสูงเป็นพิเศษ
๓) คำหลังบาทที่ ๒ ให้เอื้อนเสียงต่ำกว่าปกติ
๔) โคลงสี่สุภาพหนึ่งบทมี ๔ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคหน้าของทุกบาทมี ๕ คำ วรรคหลังของบาทที่ ๑ ถึง ๓ มี ๒ คำ แต่สามารถเพิ่มคำสร้อยที่ท้ายบาท ๑ และ ๓ ได้อีกบาทละ ๒ คำ ส่วนวรรคหลังของบาทที่ ๔ จะมี ๔ คำ
ฉันท์
มีลักษณะพิเศษที่ก่อให้เกิดความไพเราะมากกว่าคำประพันธ์ชนิดอื่น คือ ใช้ คำครุ คำลหุ แทนคำธรรมดาซึ่งคำทั้ง ๒ ชนิดมีลักษณะ ดังนี้
การท่องจำคำประพันธ์ประเภทฉันท์ มีหลักดังนี้
– อ่านทอดจังหวะตามชนิดของฉันท์ โดยออกเสียงคำครุ คำลหุให้ชัดเจน
– หากคำสุดท้ายของวรรคเป็นเสียงจัตวา ให้ออกเสียงสูงเป็นพิเศษ
๑) อินทรวิเชียรฉันท์ บทหนึ่งมี ๒ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค แบ่งเป็นวรรคหน้า ๕ คำ วรรคหลัง ๖ คำ
๒) สาลินีฉันท์ บทหนึ่งมี ๒ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค แบ่งเป็นวรรคหน้า ๕ คำ วรรคหลัง ๖ คำ
๓) วสันตดิลกฉันท์ บทหนึ่งมี ๒ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค แบ่งเป็นวรรคหน้า ๘ คำ วรรคหลัง ๖ คำ
ร่าย หนึ่งบทไม่จำกัดจำนวนวรรคหรือจำนวนบาท แต่บทหนึ่งมักแต่งตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป
การท่องจำคำประพันธ์ประเภทร่าย มีหลักดังนี้
– อ่านด้วยทำนองเสียงสูงระดับเดียวกันและลงจังหวะทอดเสียงที่ท้ายวรรค หากเป็นร่ายสุภาพ ช่วงท้ายที่เป็นโคลงสองสุภาพจะอ่านช้าลงและทอดเสียงมากกว่า
– ใช้น้ำเสียง ลีลา ความช้าเร็ว ให้เหมาะสมกับอารมณ์ของเนื้อหา
– ร่ายที่วรรคหนึ่งมีมากกว่า ๕ คำ พยายามอ่านให้จบวรรคในลมเดียว หรืออาจลักหายใจช่วงการทอดเสียงท้ายวรรค หรือตรงช่วงแบ่งวรรคได้
– คำสุดท้ายของบทต้องอ่านทอดเสียงให้ยาวกว่าปกติ
ร่ายเป็นคำประพันธ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ นิยมใช้เป็นบทนำหรือบทไหว้ครูของลิลิต แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ
๑) ร่ายโบราณ ไม่บังคับคำเอกคำโท แต่บังคับคำสุดท้ายของวรรคต้องสัมผัสกับคำที่ ๑ ๒ หรือ ๓ ของวรรคถัดไปและสามารถเติมคำสร้อยได้อีก ๒ คำท้ายบท หรือจะเติมสลับไปทุกวรรคก็ได้
๒) ร่ายสุภาพ เป็นที่นิยม เพราะมีแบบแผนมากกว่าร่ายชนิดอื่น คือจบด้วยโคลงสองสุภาพ หรือโคลงสามสุภาพ การรับส่งสัมผัสและการเติมคำสร้อยเหมือนกับร่ายโบราณ ยกเว้น ๓ วรรคสุดท้ายที่เป็นโคลงจะไม่มีการเติมคำสร้อยแบบสลับวรรค
๓) ร่ายยาว คล้ายบทร้อยแก้วธรรมดาที่มีสัมผัสระหว่างวรรค ในแต่ละวรรคใช้คำได้ ๕-๑๔ คำ และสัมผัสตรงไหนก็ได้ นิยมใช้กับบทเทศน์หรือบทสวด
๔) ร่ายดั้น จะมีกี่วรรคก็ได้ แต่ต้องจบด้วยบาทที่ ๓ และ ๔ ของโคลงดั้นวิวิธมาลี การรับส่งสัมผัสเหมือนร่ายอื่น ๆ ยกเว้น ๕ วรรคสุดท้าย ที่คำสุดท้ายของวรรคแรกในจำนวน ๕ วรรคนี้ จะสัมผัสกับคำแรกของวรรคถัดไป และหลังจากนั้นจะไม่มีการรับส่งสัมผัสอีก แต่จะมีการบังคับคำเอกคำโท เหมือนที่บังคับในบาทที่ ๓ และ ๔ ของโคลงดั้นวิวิธมาลี ทั้งนี้อาจมีคำสร้อยท้ายบทได้อีก ๒ คำ
คำสำคัญ คำประพันธ์ ทำนองเสนาะ โคลงสี่สุภาพ ฉันท์ ร่าย
แหล่งที่มา : สำนักพิมพ์ วัฒนาพานิช www.wpp.co.th