ผังมโนทัศน์สาระการเรียนรู้
1. กฎหมาย
ความหมายและความสำคัญของกฎหมาย คือ ข้อบังคับของรัฐซึ่งกำหนดความประพฤติของประชาชน
เจตนารมณ์สำคัญของระบอบประชาธิปไตย คือ
– ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ
– มีหน้าที่และความรับผิดชอบตามกฎหมายต่อส่วนรวม
ประเภทของกฎหมาย แบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่แบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย เน้นให้เห็นว่ากฎหมายถูกนำไปใช้อย่างไร ซึ่งมี 2 ประเภท คือ
– กฎหมายสารบัญญัติ คือ กฎหมายที่กำหนดหลักการทั่วไปและบัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคลทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง
– กฎหมายวิธีสบัญญัติ คือ บทกฎหมายที่นำกฎหมายสารบัญญัติใช้ตามกระบวนการของกฎหมาย โดยผ่านวิธีทางการศาล
ประเภทที่แบ่งตามข้อความในบทบัญญัติของกฎหมาย มี 3 ประเภท คือ
– กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนของรัฐ
– กฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนที่อยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน
– กฎหมายระหว่างประเทศ คือ กฎหมายที่มีหลักการและกฎเกณฑ์ความประพฤติ
ประเภทที่แบ่งตามลักษณะการตรากฎหมาย มี 3 ประเภท คือ
– กฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ มี 2 ประเภท ได้แก่ พระราชบัญญัติ และประมวลกฎหมายอาญา
– กฎหมายของฝ่ายบริหาร มี 4 ประเภท ได้แก่ พระราชกำหนด พระบรมราชโองการ พระราชกฤษฎีกา และกฎกระทรวง
– กฎหมายท้องถิ่น เป็นกฎหมายที่รัฐมอบอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
2. การตรากฎหมาย
เพื่อใช้บังคับให้บุคคลต้องปฏิบัติ
กระบวนการตรากฎหมาย
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการปกครองประเทศ
การเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ผู้มีสิทธิเสนอร่าง มี 3 กลุ่ม ได้แก่
– คณะรัฐมนตรี
– สมาชิกรัฐสภา
– ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา หรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ กระทำเป็น 3 วาระ ได้แก่
– รับหลักการ ด้วยวิธีการออกเสียงลงคะแนน
– พิจารณาเรียงลำดับมาตรา ให้ถือเสียงข้างมากของแต่ละสภา
– การออกเสียงลงคะแนน
การตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
– เมื่อรัฐสภาเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแล้ว ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา
– หากร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ตกไป
– ข้อความที่ตกไป ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญคืนรัฐสภา เพื่อแก้ไขพระราชบัญญัติ เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
ขั้นตอนการตราพระราชบัญญัติ
– การเสนอร่างพระราชบัญญัติ
– การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ
– ผู้ตราพระราชบัญญัติ
– การใช้บังคับเป็นกฎหมาย
พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี
ประเภทของพระราชกำหนด มี 2 ประเภท ได้แก่
– พระราชกำหนดทั่วไป
– พระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา
หลักเกณฑ์การตราพระราชกำหนด
– การตราพระราชกำหนดทั่วไป
– การตราพระราชกำหนดเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา
– ขั้นตอนการตราพระราชกำหนด
พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ตราขึ้นโดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี
หลักเกณฑ์การตราพระราชกฤษฎีกา
– การตราพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐธรรมนูญกำหนดให้ตราพระราชกฤษฎีกาที่สำคัญเกี่ยวกับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
– การตราพระราชกฤษฎีกาโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ เป็นการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อใช้กับฝ่ายบริหารเท่านั้น
– การตราพระราชกฤษฎีกาโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายแม่บท ที่ใช้อำนาจตราพระราชกฤษฎีกาได้
ขั้นตอนการตราพระราชกฤษฎีกา
– การเสนอร่างพระราชกฤษฎีกา ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือได้รักษาการตามกฎหมายแม่บทที่บัญญัติให้ออกพระราชกฤษฎีกานั้นเป็นผู้มีอำนาจเสนอร่างพระราชกฤษฎีกา
– การพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา คณะรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจพิจารณา
– การตราพระราชกฤษฎีกา พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจพิจารณา
– การใช้บังคับเป็นกฎหมาย พระราชกฤษฎีกาบังคับเป็นกฎหมายเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา
การมีส่วนร่วมในการตรากฎหมายของประชาชน ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 10,000 คนมีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติได้ โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนี้
ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ จะต้องเป็นผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง
รูปแบบการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ จะต้องมีหลักการเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยหรือแนวนโยบายพื้นฐาน
วิธีการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ มี 2 วิธี ดังนี้
– การเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
– การเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง
3. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว
ความหมายของผู้เยาว์ คือ บุคคลที่มีอายุไม่ถึง20 ปีบริบูรณ์
ความสามารถของผู้เยาว์ ในกฎหมายกำหนดไว้ ดังนี้
การสมรส ต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ หรือศาลอนุญาตให้สมรสได้ การสมรสจะต้องจดทะเบียนตามกฎหมายแล้วเท่านั้น
การทำนิติกรรม ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม จึงจะสมบูรณ์ตามกฎหมาย
การทำการใด ๆ กฎหมายจำกัดความสามารถของผู้เยาว์ไว้ ทำให้เกิดความไม่สะดวกและเสียเวลาในการไปขออนุญาตผู้แทน จึงกำหนดข้อยกเว้น 3 ประเภท ดังนี้
– นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้มาซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือเพื่อหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง
– นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว
– นิติกรรมที่จำเป็นเพื่อการดำรงชีพของผู้เยาว์
การทำพินัยกรรม ต้องมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์
การประกอบธุรกิจการค้าและทำสัญญาเป็นลูกจ้าง ผู้เยาว์สามารถทำธุรกิจได้ โดยธุรกิจนั้นอาจมาจากกิจการที่เป็นมรดกของครอบครัวตกทอดมา
กฎหมายเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อประโยชน์ของผู้ถือบัตรและทางราชการ
พระราชบัญญัติบัตรประจำตัว กำหนดหลักเกณฑ์การขอมีบัตรประจำตัวประชาชนไว้ดังนี้
– บุคคลผู้มีสัญชาติไทยซึ่งมีอายุตั้งแต่เจ็ดปีบริบูรณ์ และมีชื่อในทะเบียนบ้าน
– บุคคลต่างด้าวที่ได้สัญชาติไทยหรือได้กลับคืนสัญชาติไทย
– บุคคลที่ได้เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน
– บุคคลที่พ้นสภาพจากการได้รับการยกเว้น
กฎหมายเกี่ยวกับครอบครัว
การหมั้น ในทางกฎหมาย คือ การที่ชายหญิงสัญญาว่าจะทำการสมรสและอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา จะต้องมีของหมั้นและสินสอด การหมั้นมีเงื่อนไข 2 ประการ ดังนี้
– อายุของคู่หมั้น จะต้องมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์
– ความยินยอมของบิดามารดาหรือผู้ปกครอง ถ้าอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์หรือผู้เยาว์จะไม่สามารถทำการหมั้นด้วยตนเองได้ ต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองก่อน
การหมั้นจะมีความสมบูรณ์ จะต้องมีสิ่งประกอบ 2 ประการ ได้แก่
– ของหมั้น
– สินสอด
การสมรส
หลักเกณฑ์การสมรส มี 3 ประการ ได้แก่
การสมรสมีหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติ ดังนี้
– คู่สมรสต้องเป็นชายและหญิง
– ต้องกระทำโดยสมัครใจ
– อยู่กินฉันสามีภริยา
– ต้องมีคู่สมรสเพียงคนเดียว
เงื่อนไขการสมรส มี 2 ส่วน ได้แก่
เงื่อนไขการสมรส มี 3 ประการ ได้แก่
– ชายและหญิงต้องมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์
– ชายและหญิงแสดงความยินยอมเป็นสามีภริยากันต่อหน้านายทะเบียนและมีการจดทะเบียนสมรส
เงื่อนไขที่เป็นข้อห้าม มี 5 ประการ ได้แก่
– ชายหรือหญิงที่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
– ญาติสืบสายโลหิตจะสมรสกันไม่ได้
– ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้
– สมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้วไม่ได้
– หญิงที่เคยสมรสมาแล้วแต่สามีตาย หรือการสมรสครั้งก่อนสิ้นสุดลงโดยสาเหตุอื่น
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา มีดังนี้
ความสัมพันธ์ด้านส่วนตัว สามีและภริยาต้องช่วยเหลือเลี้ยงดูกัน
ความสัมพันธ์ด้านทรัพย์สิน มี 2 ประเภท คือ
– ทรัพย์สินส่วนตัว คือ ทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีอำนาจมาเกี่ยวข้อง
– สินสมรส คือ ทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันของคู่สมรสทั้งสองฝ่าย
การรับรองบุตร
บุตร แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
บุตรชอบด้วยกฎหมาย มี 2 ประเภท ได้แก่
– บุตรในสมรส คือ เด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย
– บุตรนอกสมรส คือ เด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
บุตรนอกกฎหมาย คือ บุตรที่เกิดจากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันและไม่ได้ดำเนินการให้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา
บุตรบุญธรรม คือ บุตรของคนอื่นแต่เข้ามาเป็นบุตรด้วยการจดทะเบียน สำหรับหลักการรับบุตรบุญธรรมมีดังนี้
– ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และต้องมีอายุมากกว่าบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี
– ผู้เป็นบุตรบุญธรรมที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี จะต้องให้ความยินยอมด้วย
– บุตรบุญธรรมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องได้รับคำยินยอมจากบิดามารดาผู้นั้น
– ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรม ถ้ามีคู่สมรสต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อน
– การรับบุตรบุญธรรมมีผลเฉพาะตัวผู้จดทะเบียนเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมเท่านั้น
4. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
กฎหมายเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของไทยได้นำทรัพยากรธรรมชาติมาพัฒนาประเทศ ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติลดลง จึงมีการตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ได้แก่
– กรมทรัพยากรธรณี
– กรมควบคุมมลพิษ
– กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
– กรมทรัพยากรน้ำ
– กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
– กรมอุทยานแห่งชาติ
– กรมป่าไม้
กฎหมายที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่
– พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
– พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
– พระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. 2520
– พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
– พระราชบัญญัติสวนสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
– พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535
– พระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. 2551
พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 มีสาระสำคัญดังนี้
คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีอำนาจและหน้าที่หลายประการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
กองทุนสิ่งแวดล้อม เป็นกองทุนที่มีหน้าที่บริหารเงินกองทุนเพื่อใช้ในด้านสิ่งแวดล้อม กำหนดให้ดำเนินการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ดังนี้
– การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม
– การวางแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม
– การกำหนดเขตอนุรักษ์และพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม
– การทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
การควบคุมมลพิษ กำหนดให้ดำเนินการควบคุมมลพิษ ดังนี้
– การให้คณะกรรมการควบคุมมลพิษ
– การกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด
– การกำหนดเขตควบคุมมลพิษ
– มลพิษทางอากาศและเสียง
– มลพิษทางน้ำ
– มลพิษอื่นและของเสียอันตราย
– การตรวจสอบและควบคุม
กฎหมายภาษีอากร
ประเภทของภาษีอากร มี 2 ประเภท คือ
– ภาษีทางตรง หมายถึง ภาษีที่ผู้เสียภาษีจะผลักภาระภาษีให้ผู้อื่นไม่ได้ โดยจัดเก็บจากฐานรายได้หรือฐานทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้า
– ภาษีทางอ้อม หมายถึง ภาษีที่ผู้เสียภาษีผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้ ซึ่งอาจถูกผลักไปให้ผู้บริโภคในรูปของการขึ้นราคาสินค้าและบริการ
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เก็บจากเงินได้ของบุคคลธรรมดาที่มีเงินได้ หากไม่มีกฎหมายยกเว้นภาษี
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ
– บุคคลธรรมดา คือ บุคคลที่มีชีวิตอยู่ หากมีเงินได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่ประมวลรัษฎากรกำหนด
– ผู้ถึงแก่ความตาย อาจเป็นกรณีที่ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี อาจได้เงินถึงเกณฑ์ที่ประมวลรัษฎากรกำหนด
– กองมรดกที่ยังมิได้แบ่ง ถ้าไม่ได้แบ่งเด็ดขาด และกองมรดกนั้นก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี
– ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
เงินได้พึงประเมินและแหล่งเงินได้
เงินได้พึงประเมิน แบ่งออกเป็น 8 ประเภท ได้แก่
– ประเภทที่ 1 ได้แก่ เงินได้จากการจ้างแรงงาน
– ประเภทที่ 2 ได้แก่ เงินได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้
– ประเภทที่ 3 เช่น ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ หรือค่าความนิยม ค่าลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปีที่ได้มาจากพินัยกรรม
– ประเภทที่ 4 เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่ง
– ประเภทที่ 5 คือ เงินหรือประโยชน์อื่นที่ได้จากนิติกรรม
– ประเภทที่ 6 คือ เงินได้จากวิชาชีพอิสระ
– ประเภทที่ 7 คือ เงินที่ได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุน
– ประเภทที่ 8 คือ เงินได้จากการประกอบธุรกิจ
แหล่งเงินได้ แบ่งเป็น
– แหล่งในประเทศ
– แหล่งนอกประเทศ
การยื่นแบบแสดงรายการและการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรต้องยื่นแบบแสดงรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
การกรอกแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีวิธีกรอกดังนี้
– กรอกรายละเอียดให้อ่านได้ง่าย ชัดเจน และถูกต้องสมบูรณ์
– โปรดตรวจทานรายการที่จัดพิมพ์มา
– กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับวันเดือนปีเกิดของผู้มีเงินได้และคู่สมรสให้ชัดเจน
– คนต่างด้าวผู้ไม่มีเลขบัตรประจำตัวประชาชน ให้กรอกเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
สถานที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี
– ในกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรืออาจยื่นแบบทางไปรษณีย์ส่งไปยังกองคลัง กรมสรรพากรได้
– ต่างจังหวัด ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือยื่นได้ที่สำนักงานสาขาทุกสาขาของธนาคารพาณิชย์ของไทย
– ผู้เสียภาษีจะต้องยื่นแบบและชำระภาษีที่ธนาคารในอำเภอหรือกิ่งอำเภอท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ หรืออาจจะยื่นทางไปรษณีย์ โดยส่งไปยังสำนักบริหารการคลังและรายได้ กรมสรรพากร อาคารกรมสรรพากร
กฎหมายแรงงาน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551 เป็นกฎหมายที่คุ้มครองแรงงานให้ใช้แรงงานอย่างเป็นธรรม
การใช้แรงงานทั่วไป
การทำงานปกติ แต่ละวันของลูกจ้างได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมง
การทำงานล่วงเวลา ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อน
การลา มี 5 ประเภท คือ
– ลาป่วย การลาป่วยตั้งแต่ 3 วันทำงานขึ้นไป ลูกจ้างต้องแสดงใบรับรองแพทย์
– ลาเพื่อทำหมัน ลาได้ตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด
– ลาเพื่อกิจธุระอันจำเป็น
– ลาเพื่อรับราชการทหาร
– ลาเพื่อฝึกอบรม เพื่อฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถ
การกำหนดวันหยุด มี 3 ประเภท คือ
– วันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่น้อยกว่า 1 วัน และ ระยะห่างไม่เกิน 6 วัน
– วันหยุดตามประเพณี โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย
– วันหยุดพักผ่อน ลูกจ้างที่ทำงานครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 6 วันทำงาน
การใช้แรงงานหญิง กฎหมายกำหนดข้อห้ามไว้ดังนี้
– ห้ามทำงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกาย
– ห้ามหญิงมีครรภ์ทำงานในส่วนของเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือนหรืองานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ หรืองานที่ต้องใช้แรงงานหนัก
การใช้แรงงานเด็ก นายจ้างต้องปฏิบัติดังนี้
– แจ้งพนักงานตรวจแรงงานภายใน 15 วัน
– บันทึกสภาพการจ้างงานที่เปลี่ยนไปจากเดิมเก็บไว้
– แจ้งการสิ้นสุดการจ้างแรงงานต่อพนักงานตรวจภายใน 7 วัน
การจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี นายจ้างห้ามปฏิบัติดังนี้
– ห้ามมิให้จ้างเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
– ห้ามมิให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานในระหว่างเวลา 22.00 น. ถึง 6.00 น. เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมาย ยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่เป็นผู้แสดงภาพยนตร์ ละคร
– ห้ามมิให้ลูกจ้างที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานล่วงเวลาหรือทำงานวันหยุด
– ห้ามมิให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานที่อันตราย
– ห้ามมิให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานสถานที่ที่ไม่เหมาะสม
– ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกัน
– ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างของลูกจ้างที่เป็นเด็กให้แก่บุคคลอื่น
นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กมีเวลาพักวันหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงติดต่อกัน หลังจากที่ลูกจ้างทำงานมาแล้วไม่เกิน 4 ชั่วโมง ลูกจ้างที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มีสิทธิลาเพื่อเข้าประชุม สัมมนา รับการอบรม รับการฝึก หรือลาเพื่อการอื่น แต่ปีหนึ่งต้องไม่เกิน 30 วัน
ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด
การจ่ายค่าจ้างปกติ กรณีงานที่มีลักษณะและคุณภาพของงานอย่างเดียวกันและมีปริมาณเท่ากัน ต้องจ่ายค่าจ้างด้วยเงินตราไทย
การจ่ายค่าจ้างกรณีต่าง ๆ มีดังนี้
– วันหยุด นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงาน
– ลาป่วย ลูกจ้างที่ลาป่วยมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานปกติ แต่ต้องไม่เกิน 30 วัน
– ลารับราชการทหาร ลูกจ้างที่ลาเพื่อรับราชการทหารมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานปกติ แต่ต้องไม่เกิน 60 วัน
– ลาคลอด ลูกจ้างหญิงที่ลาคลอดบุตรมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานปกติ แต่ต้องไม่เกิน 45 วัน
– ทำงานล่วงเวลา นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาแก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่า 1 เท่าครึ่งของค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน
– ทำงานในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้าง 2 กรณี คือ กรณีแรก ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างปกติไม่น้อยกว่า 1 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมง กรณีที่สอง ลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายไม่น้อยกว่า 2 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน
– ทำงานล่วงเวลาในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาในวันหยุดแก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่า 3 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน
– ทำงานน้อยกว่าวันหยุดที่กำหนด ปกติองค์กรต้องมีวันหยุด 13 วันใน 1 ปี หากนายจ้างไม่ให้ลูกจ้างหยุดงานหรือหยุดงานน้อยกว่า 13 วัน ต้องจ่ายค่าทำงานและค่าล่วงเวลาในวันหยุดแก่ลูกจ้างเสมือนทำงานในวันหยุด
กฎหมายปกครอง
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง มี 2 แบบ ดังนี้
– การปกครองแบบรวมอำนาจ หมายถึง การปกครองแบบรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางเพื่อเป็นการประสานงานทั่วไปของรัฐบาล โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2539
– การปกครองแบบกระจายอำนาจ หมายถึง การปกครองที่รัฐมอบอำนาจให้กับองค์กรปกครองอื่น ๆ โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542
แหล่งที่มาของเนื้อหา : สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช www.wpp.co.th