บทเรียนออนไลน์ วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมาย
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
18 ม.ค. 65
 | 58.8K views



ผังมโนทัศน์สาระการเรียนรู้





1. กฎหมาย
          ความหมายและความสำคัญของกฎหมาย คือ ข้อบังคับของรัฐซึ่งกำหนดความประพฤติของประชาชน
          เจตนารมณ์สำคัญของระบอบประชาธิปไตย คือ
                    – ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ
                    – มีหน้าที่และความรับผิดชอบตามกฎหมายต่อส่วนรวม

          ประเภทของกฎหมาย แบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้
                    ประเภทที่แบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย เน้นให้เห็นว่ากฎหมายถูกนำไปใช้อย่างไร ซึ่งมี 2 ประเภท คือ
                              – กฎหมายสารบัญญัติ คือ กฎหมายที่กำหนดหลักการทั่วไปและบัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคลทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง
                              – กฎหมายวิธีสบัญญัติ คือ บทกฎหมายที่นำกฎหมายสารบัญญัติใช้ตามกระบวนการของกฎหมาย โดยผ่านวิธีทางการศาล
                    ประเภทที่แบ่งตามข้อความในบทบัญญัติของกฎหมาย มี 3 ประเภท คือ
                              – กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนของรัฐ
                              – กฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนที่อยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน
                              – กฎหมายระหว่างประเทศ คือ กฎหมายที่มีหลักการและกฎเกณฑ์ความประพฤติ
                    ประเภทที่แบ่งตามลักษณะการตรากฎหมาย มี 3 ประเภท คือ
                              – กฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ มี 2 ประเภท ได้แก่ พระราชบัญญัติ และประมวลกฎหมายอาญา
                              – กฎหมายของฝ่ายบริหาร มี 4 ประเภท ได้แก่ พระราชกำหนด พระบรมราชโองการ พระราชกฤษฎีกา และกฎกระทรวง
                              – กฎหมายท้องถิ่น เป็นกฎหมายที่รัฐมอบอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น





2. การตรากฎหมาย
          เพื่อใช้บังคับให้บุคคลต้องปฏิบัติ
          กระบวนการตรากฎหมาย
                    พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการปกครองประเทศ
          การเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ผู้มีสิทธิเสนอร่าง มี 3 กลุ่ม ได้แก่
                    – คณะรัฐมนตรี
                    – สมาชิกรัฐสภา
                    – ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา หรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ




          การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ กระทำเป็น 3 วาระ ได้แก่
                    – รับหลักการ ด้วยวิธีการออกเสียงลงคะแนน
                    – พิจารณาเรียงลำดับมาตรา ให้ถือเสียงข้างมากของแต่ละสภา
                    – การออกเสียงลงคะแนน
          การตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
                    – เมื่อรัฐสภาเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแล้ว ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา
                    – หากร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ตกไป
                    – ข้อความที่ตกไป ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญคืนรัฐสภา เพื่อแก้ไขพระราชบัญญัติ เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
          ขั้นตอนการตราพระราชบัญญัติ
                    – การเสนอร่างพระราชบัญญัติ
                    – การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ
                    – ผู้ตราพระราชบัญญัติ
                    – การใช้บังคับเป็นกฎหมาย

          พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี
          ประเภทของพระราชกำหนด มี 2 ประเภท ได้แก่
                    – พระราชกำหนดทั่วไป
                    – พระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา
          หลักเกณฑ์การตราพระราชกำหนด
                    – การตราพระราชกำหนดทั่วไป
                    – การตราพระราชกำหนดเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา
                    – ขั้นตอนการตราพระราชกำหนด

          พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ตราขึ้นโดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี
          หลักเกณฑ์การตราพระราชกฤษฎีกา
                    – การตราพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐธรรมนูญกำหนดให้ตราพระราชกฤษฎีกาที่สำคัญเกี่ยวกับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
                    – การตราพระราชกฤษฎีกาโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ เป็นการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อใช้กับฝ่ายบริหารเท่านั้น
                    – การตราพระราชกฤษฎีกาโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายแม่บท ที่ใช้อำนาจตราพระราชกฤษฎีกาได้
          ขั้นตอนการตราพระราชกฤษฎีกา
                    – การเสนอร่างพระราชกฤษฎีกา ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือได้รักษาการตามกฎหมายแม่บทที่บัญญัติให้ออกพระราชกฤษฎีกานั้นเป็นผู้มีอำนาจเสนอร่างพระราชกฤษฎีกา
                    – การพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา คณะรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจพิจารณา
                    – การตราพระราชกฤษฎีกา พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจพิจารณา
                    – การใช้บังคับเป็นกฎหมาย พระราชกฤษฎีกาบังคับเป็นกฎหมายเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา

          การมีส่วนร่วมในการตรากฎหมายของประชาชน ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 10,000 คนมีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติได้ โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนี้
                    ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ จะต้องเป็นผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง
                    รูปแบบการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ จะต้องมีหลักการเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยหรือแนวนโยบายพื้นฐาน
                    วิธีการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ มี 2 วิธี ดังนี้
                              – การเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
                              – การเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง

3. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว
          ความหมายของผู้เยาว์ คือ บุคคลที่มีอายุไม่ถึง20 ปีบริบูรณ์
          ความสามารถของผู้เยาว์ ในกฎหมายกำหนดไว้ ดังนี้
                    การสมรส ต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ หรือศาลอนุญาตให้สมรสได้ การสมรสจะต้องจดทะเบียนตามกฎหมายแล้วเท่านั้น
                    การทำนิติกรรม ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม จึงจะสมบูรณ์ตามกฎหมาย
                    การทำการใด ๆ กฎหมายจำกัดความสามารถของผู้เยาว์ไว้ ทำให้เกิดความไม่สะดวกและเสียเวลาในการไปขออนุญาตผู้แทน จึงกำหนดข้อยกเว้น 3 ประเภท ดังนี้
                              – นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้มาซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือเพื่อหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง
                              – นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว
                              – นิติกรรมที่จำเป็นเพื่อการดำรงชีพของผู้เยาว์
                    การทำพินัยกรรม ต้องมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์
                    การประกอบธุรกิจการค้าและทำสัญญาเป็นลูกจ้าง ผู้เยาว์สามารถทำธุรกิจได้ โดยธุรกิจนั้นอาจมาจากกิจการที่เป็นมรดกของครอบครัวตกทอดมา

          กฎหมายเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อประโยชน์ของผู้ถือบัตรและทางราชการ
          พระราชบัญญัติบัตรประจำตัว กำหนดหลักเกณฑ์การขอมีบัตรประจำตัวประชาชนไว้ดังนี้
                    – บุคคลผู้มีสัญชาติไทยซึ่งมีอายุตั้งแต่เจ็ดปีบริบูรณ์ และมีชื่อในทะเบียนบ้าน
                    – บุคคลต่างด้าวที่ได้สัญชาติไทยหรือได้กลับคืนสัญชาติไทย
                    – บุคคลที่ได้เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน
                    – บุคคลที่พ้นสภาพจากการได้รับการยกเว้น




          กฎหมายเกี่ยวกับครอบครัว
                    การหมั้น ในทางกฎหมาย คือ การที่ชายหญิงสัญญาว่าจะทำการสมรสและอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา จะต้องมีของหมั้นและสินสอด การหมั้นมีเงื่อนไข 2 ประการ ดังนี้
                              – อายุของคู่หมั้น จะต้องมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์
                              – ความยินยอมของบิดามารดาหรือผู้ปกครอง ถ้าอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์หรือผู้เยาว์จะไม่สามารถทำการหมั้นด้วยตนเองได้ ต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองก่อน
                              การหมั้นจะมีความสมบูรณ์ จะต้องมีสิ่งประกอบ 2 ประการ ได้แก่
                                        – ของหมั้น
                                        – สินสอด
                    การสมรส
                              หลักเกณฑ์การสมรส มี 3 ประการ ได้แก่
                                        การสมรสมีหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติ ดังนี้
                                                  – คู่สมรสต้องเป็นชายและหญิง
                                                  – ต้องกระทำโดยสมัครใจ
                                                  – อยู่กินฉันสามีภริยา
                                                  – ต้องมีคู่สมรสเพียงคนเดียว
                              เงื่อนไขการสมรส มี 2 ส่วน ได้แก่
                                        เงื่อนไขการสมรส มี 3 ประการ ได้แก่
                                                  – ชายและหญิงต้องมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์
                                                  – ชายและหญิงแสดงความยินยอมเป็นสามีภริยากันต่อหน้านายทะเบียนและมีการจดทะเบียนสมรส




                              เงื่อนไขที่เป็นข้อห้าม มี 5 ประการ ได้แก่
                                        – ชายหรือหญิงที่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
                                        – ญาติสืบสายโลหิตจะสมรสกันไม่ได้
                                        – ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้
                                        – สมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้วไม่ได้
                                        – หญิงที่เคยสมรสมาแล้วแต่สามีตาย หรือการสมรสครั้งก่อนสิ้นสุดลงโดยสาเหตุอื่น
          ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา มีดังนี้
                    ความสัมพันธ์ด้านส่วนตัว สามีและภริยาต้องช่วยเหลือเลี้ยงดูกัน
                    ความสัมพันธ์ด้านทรัพย์สิน มี 2 ประเภท คือ
                              – ทรัพย์สินส่วนตัว คือ ทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีอำนาจมาเกี่ยวข้อง
                              – สินสมรส คือ ทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันของคู่สมรสทั้งสองฝ่าย
          การรับรองบุตร
                    บุตร แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
                              บุตรชอบด้วยกฎหมาย มี 2 ประเภท ได้แก่
                                        – บุตรในสมรส คือ เด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย
                                        – บุตรนอกสมรส คือ เด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
                              บุตรนอกกฎหมาย คือ บุตรที่เกิดจากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันและไม่ได้ดำเนินการให้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา
                              บุตรบุญธรรม คือ บุตรของคนอื่นแต่เข้ามาเป็นบุตรด้วยการจดทะเบียน สำหรับหลักการรับบุตรบุญธรรมมีดังนี้
                                         – ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และต้องมีอายุมากกว่าบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี
                                         – ผู้เป็นบุตรบุญธรรมที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี จะต้องให้ความยินยอมด้วย
                                         – บุตรบุญธรรมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องได้รับคำยินยอมจากบิดามารดาผู้นั้น
                                         – ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรม ถ้ามีคู่สมรสต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อน
                                         – การรับบุตรบุญธรรมมีผลเฉพาะตัวผู้จดทะเบียนเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมเท่านั้น

4. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและประเทศ
          กฎหมายเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของไทยได้นำทรัพยากรธรรมชาติมาพัฒนาประเทศ ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติลดลง จึงมีการตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ได้แก่
                    – กรมทรัพยากรธรณี
                    – กรมควบคุมมลพิษ
                    – กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
                    – กรมทรัพยากรน้ำ
                    – กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
                    – กรมอุทยานแห่งชาติ
                    – กรมป่าไม้




          กฎหมายที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่
                    – พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
                    – พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
                    – พระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. 2520
                    – พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
                    – พระราชบัญญัติสวนสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
                    – พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535
                    – พระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. 2551

          พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 มีสาระสำคัญดังนี้
                    คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีอำนาจและหน้าที่หลายประการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
                    กองทุนสิ่งแวดล้อม เป็นกองทุนที่มีหน้าที่บริหารเงินกองทุนเพื่อใช้ในด้านสิ่งแวดล้อม กำหนดให้ดำเนินการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ดังนี้
                              – การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม
                              – การวางแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม
                              – การกำหนดเขตอนุรักษ์และพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม
                              – การทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม

          การควบคุมมลพิษ กำหนดให้ดำเนินการควบคุมมลพิษ ดังนี้
                    – การให้คณะกรรมการควบคุมมลพิษ
                    – การกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด
                    – การกำหนดเขตควบคุมมลพิษ
                    – มลพิษทางอากาศและเสียง
                    – มลพิษทางน้ำ
                    – มลพิษอื่นและของเสียอันตราย
                    – การตรวจสอบและควบคุม

          กฎหมายภาษีอากร
                    ประเภทของภาษีอากร มี 2 ประเภท คือ
                               – ภาษีทางตรง หมายถึง ภาษีที่ผู้เสียภาษีจะผลักภาระภาษีให้ผู้อื่นไม่ได้ โดยจัดเก็บจากฐานรายได้หรือฐานทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้า
                               – ภาษีทางอ้อม หมายถึง ภาษีที่ผู้เสียภาษีผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้ ซึ่งอาจถูกผลักไปให้ผู้บริโภคในรูปของการขึ้นราคาสินค้าและบริการ
          ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เก็บจากเงินได้ของบุคคลธรรมดาที่มีเงินได้ หากไม่มีกฎหมายยกเว้นภาษี

          ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ
                    – บุคคลธรรมดา คือ บุคคลที่มีชีวิตอยู่ หากมีเงินได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่ประมวลรัษฎากรกำหนด
                    – ผู้ถึงแก่ความตาย อาจเป็นกรณีที่ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี อาจได้เงินถึงเกณฑ์ที่ประมวลรัษฎากรกำหนด
                    – กองมรดกที่ยังมิได้แบ่ง ถ้าไม่ได้แบ่งเด็ดขาด และกองมรดกนั้นก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี
                    – ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

          เงินได้พึงประเมินและแหล่งเงินได้
                     เงินได้พึงประเมิน แบ่งออกเป็น 8 ประเภท ได้แก่
                               – ประเภทที่ 1 ได้แก่ เงินได้จากการจ้างแรงงาน
                               – ประเภทที่ 2 ได้แก่ เงินได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้
                               – ประเภทที่ 3 เช่น ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ หรือค่าความนิยม ค่าลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปีที่ได้มาจากพินัยกรรม
                               – ประเภทที่ 4 เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่ง
                               – ประเภทที่ 5 คือ เงินหรือประโยชน์อื่นที่ได้จากนิติกรรม
                               – ประเภทที่ 6 คือ เงินได้จากวิชาชีพอิสระ
                               – ประเภทที่ 7 คือ เงินที่ได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุน
                               – ประเภทที่ 8 คือ เงินได้จากการประกอบธุรกิจ

                     แหล่งเงินได้ แบ่งเป็น
                               – แหล่งในประเทศ
                               – แหล่งนอกประเทศ
          การยื่นแบบแสดงรายการและการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรต้องยื่นแบบแสดงรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
          การกรอกแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีวิธีกรอกดังนี้
                     – กรอกรายละเอียดให้อ่านได้ง่าย ชัดเจน และถูกต้องสมบูรณ์
                     – โปรดตรวจทานรายการที่จัดพิมพ์มา
                     – กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับวันเดือนปีเกิดของผู้มีเงินได้และคู่สมรสให้ชัดเจน
                     – คนต่างด้าวผู้ไม่มีเลขบัตรประจำตัวประชาชน ให้กรอกเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร

          สถานที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี
                     – ในกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรืออาจยื่นแบบทางไปรษณีย์ส่งไปยังกองคลัง กรมสรรพากรได้
                     – ต่างจังหวัด ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือยื่นได้ที่สำนักงานสาขาทุกสาขาของธนาคารพาณิชย์ของไทย
                     – ผู้เสียภาษีจะต้องยื่นแบบและชำระภาษีที่ธนาคารในอำเภอหรือกิ่งอำเภอท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ หรืออาจจะยื่นทางไปรษณีย์ โดยส่งไปยังสำนักบริหารการคลังและรายได้ กรมสรรพากร อาคารกรมสรรพากร

          กฎหมายแรงงาน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551 เป็นกฎหมายที่คุ้มครองแรงงานให้ใช้แรงงานอย่างเป็นธรรม
                    การใช้แรงงานทั่วไป
                              การทำงานปกติ แต่ละวันของลูกจ้างได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมง
                              การทำงานล่วงเวลา ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อน
                              การลา มี 5 ประเภท คือ
                                        – ลาป่วย การลาป่วยตั้งแต่ 3 วันทำงานขึ้นไป ลูกจ้างต้องแสดงใบรับรองแพทย์
                                        – ลาเพื่อทำหมัน ลาได้ตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด
                                        – ลาเพื่อกิจธุระอันจำเป็น
                                        – ลาเพื่อรับราชการทหาร
                                        – ลาเพื่อฝึกอบรม เพื่อฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถ
                    การกำหนดวันหยุด มี 3 ประเภท คือ
                              – วันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่น้อยกว่า 1 วัน และ ระยะห่างไม่เกิน 6 วัน
                              – วันหยุดตามประเพณี โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย
                              – วันหยุดพักผ่อน ลูกจ้างที่ทำงานครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 6 วันทำงาน
                    การใช้แรงงานหญิง กฎหมายกำหนดข้อห้ามไว้ดังนี้
                              – ห้ามทำงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกาย
                              – ห้ามหญิงมีครรภ์ทำงานในส่วนของเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือนหรืองานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ หรืองานที่ต้องใช้แรงงานหนัก
                    การใช้แรงงานเด็ก นายจ้างต้องปฏิบัติดังนี้
                              – แจ้งพนักงานตรวจแรงงานภายใน 15 วัน
                              – บันทึกสภาพการจ้างงานที่เปลี่ยนไปจากเดิมเก็บไว้
                              – แจ้งการสิ้นสุดการจ้างแรงงานต่อพนักงานตรวจภายใน 7 วัน
                    การจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี นายจ้างห้ามปฏิบัติดังนี้
                              – ห้ามมิให้จ้างเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
                              – ห้ามมิให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานในระหว่างเวลา 22.00 น. ถึง 6.00 น. เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมาย ยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่เป็นผู้แสดงภาพยนตร์ ละคร
                              – ห้ามมิให้ลูกจ้างที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานล่วงเวลาหรือทำงานวันหยุด
                              – ห้ามมิให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานที่อันตราย
                              – ห้ามมิให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานสถานที่ที่ไม่เหมาะสม
                              – ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกัน
                              – ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างของลูกจ้างที่เป็นเด็กให้แก่บุคคลอื่น
          นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างที่เป็นเด็กมีเวลาพักวันหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงติดต่อกัน หลังจากที่ลูกจ้างทำงานมาแล้วไม่เกิน 4 ชั่วโมง ลูกจ้างที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มีสิทธิลาเพื่อเข้าประชุม สัมมนา รับการอบรม รับการฝึก หรือลาเพื่อการอื่น แต่ปีหนึ่งต้องไม่เกิน 30 วัน
          ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด
                    การจ่ายค่าจ้างปกติ กรณีงานที่มีลักษณะและคุณภาพของงานอย่างเดียวกันและมีปริมาณเท่ากัน ต้องจ่ายค่าจ้างด้วยเงินตราไทย
                    การจ่ายค่าจ้างกรณีต่าง ๆ มีดังนี้
                              – วันหยุด นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงาน
                              – ลาป่วย ลูกจ้างที่ลาป่วยมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานปกติ แต่ต้องไม่เกิน 30 วัน
                              – ลารับราชการทหาร ลูกจ้างที่ลาเพื่อรับราชการทหารมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานปกติ แต่ต้องไม่เกิน 60 วัน
                              – ลาคลอด ลูกจ้างหญิงที่ลาคลอดบุตรมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานปกติ แต่ต้องไม่เกิน 45 วัน
                              – ทำงานล่วงเวลา นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาแก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่า 1 เท่าครึ่งของค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน
                              – ทำงานในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้าง 2 กรณี คือ กรณีแรก ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างปกติไม่น้อยกว่า 1 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมง กรณีที่สอง ลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายไม่น้อยกว่า 2 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน
                              – ทำงานล่วงเวลาในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาในวันหยุดแก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่า 3 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน
                              – ทำงานน้อยกว่าวันหยุดที่กำหนด ปกติองค์กรต้องมีวันหยุด 13 วันใน 1 ปี หากนายจ้างไม่ให้ลูกจ้างหยุดงานหรือหยุดงานน้อยกว่า 13 วัน ต้องจ่ายค่าทำงานและค่าล่วงเวลาในวันหยุดแก่ลูกจ้างเสมือนทำงานในวันหยุด

          กฎหมายปกครอง
                    กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง มี 2 แบบ ดังนี้
                              – การปกครองแบบรวมอำนาจ หมายถึง การปกครองแบบรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางเพื่อเป็นการประสานงานทั่วไปของรัฐบาล โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2539
                              – การปกครองแบบกระจายอำนาจ หมายถึง การปกครองที่รัฐมอบอำนาจให้กับองค์กรปกครองอื่น ๆ โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542


 

 

แหล่งที่มาของเนื้อหา : สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช www.wpp.co.th