บทเรียนออนไลน์ วิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำตามหลักเกณฑ์ของภาษา
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
18 ม.ค. 65
 | 82.3K views



ผังมโนทัศน์สาระการเรียนรู้

 

 

การสร้างคำตามหลักเกณฑ์ของภาษา

 

 

คำมูล
     คำมูล = คำดั้งเดิม/คำพื้นฐานในแต่ละภาษา
     คำมูลอาจเป็นคำที่คิดขึ้นหรือคำยืม คำมูลในภาษาไทยเป็นคำโดดใช้เรียกสิ่งของและบอกลักษณะอาการทั่วไป สาเหตุที่ทำให้คำมูลพยางค์เดียวเปลี่ยนไปเป็นคำมูลหลายพยางค์ ดังนี้
 

การเปลี่ยนแปลง

ตัวอย่าง

๑.   คำกร่อน

    –    มะ กร่อนจาก หมาก

       –    ตะ กร่อนจาก ต้น/ตัว

 

 –    อะ กร่อนจาก อัน

          –    สะ กร่อนจาก สาย/สาว

               –    กร่อนเสียงพยางค์หน้าคำซ้ำ

 

มะม่วง  มะขาม  มะพร้าว 

ต้นขบ ต้นเคียน ต้นไคร้ ตะขาบ ตะเข็บ ตะเข้

อะนี้ อนึ่ง อะไร

สะดือ สะใภ้

ระรวย ระรื่น

๒. การแบ่งพยางค์ผิด

แยกพยางค์ท้ายคำหน้า เป็นพยางค์หน้าคำหลัง เช่น ชื่อนก ผัก และสิ่งที่มีลักษณะกลมเป็นลูก

กะจาบ มาจาก นกจาบ (นก-กะ-จาบ)

กะเฉด มาจาก ผักเฉด (ผัก-กะ-เฉด)

กะดุม มาจาก ลูกดุม (ลูก-กะ-ดุม)

 ๓. แนวเทียบผิด   

กะบอก กะบุง กะดูก เดิมเป็น บอก บุง ดูก

 ๔. การเพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน

      เกิดจากการอ่านเสียง กะ ตรงตัว สะกด   

 

จุกจิก --> จุก-กะ-จิก --> กะจุกกะจิก

๕. การรับคำจากภาษาอื่น   

ศีรษะ เมตตา (บาลีสันสกฤต)

ขนง ฉบับ (เขมร)

รำมะนา โนรี (มลายู)

ช็อกโกแลต ไอศกรีม (อังกฤษ)

                      ๖.  การเพิ่มพยางค์

กำนัน (กัน) ดำริ (ตริ) จำนน (จน) ขนาน (ขาน)

 
 

คำซ้ำ
     คำซ้ำ = กล่าวคำมูลซ้ำ ใช้ไม้ยมกแทนคำหลัง
     หลักการสร้างคำซ้ำ คำส่วนมากใช้เป็นคำซ้ำได้ เช่น กล้วย ๆ (ซ้ำคำมูล) นั่ง ๆ นอน ๆ (นำคำซ้ำมารวมเป็นคำซ้อน) เลียบ ๆ เคียง ๆ (ซ้ำคำซ้อน) โดยคำซ้ำที่ได้จะมีความหมายหนักขึ้น เบาลง หรือเปลี่ยนไป เช่น เด็ก ๆ (พหูพจน์) ไปไกล ๆ (คำสั่ง) งู ๆ ปลา ๆ (เปลี่ยนความหมาย) ขาว ๆ (ไม่เจาะจง)

ข้อสังเกต
     – คำที่ออกเสียงซ้ำกันบางคำไม่ได้เป็นคำซ้ำ เช่น เอาแต่นอนนอนจนอ้วนลงพุง
     – คำบางคำมีเสียงพยางค์ซ้ำกันแต่ไม่ใช่คำซ้ำ เช่น จะจะ นานา
     – กริยาช่วย บุพบท สันธาน ใช้เป็นคำซ้ำไม่ได้ เช่น จะ คง แห่ง ด้วย จึง หลังจาก
     – วิเศษณ์ส่วนใหญ่ต้องใช้เป็นคำซ้ำเท่านั้น เช่น ดิก ๆ ตุบ ๆ โทง ๆ


คำซ้อน
     คำซ้อน = นำคำมูลที่มีความหมายเหมือนกัน หรือตรงกันข้ามมารวมกัน
     หลักการสร้างคำซ้อน สร้างจากคำมูลชนิดใดและภาษาใดก็ได้ แต่ต้องนำคำมูลชนิดเดียวกันมาซ้อนกัน คำซ้อนที่ได้ทำหน้าที่อย่างชนิดของคำมูลนั้น เช่น เรือแพ หูตา (นาม+นาม) ชมเชย ทดแทน (กริยา+กริยา) ฉับพลัน เด็ดขาด (วิเศษณ์+วิเศษณ์)

ชนิดของคำซ้อน
     ๑. คำซ้อนเพื่อความหมาย เน้นความหมาย โดยความหมายหลักอาจอยู่พยางค์ใดก็ได้ ความหมายใหม่ที่ได้จะชัดเจนหรือกว้างขึ้น เช่น เสื้อผ้า (ความหมายกว้างขึ้น) คดในข้องอในกระดูก (ความหมายเชิงอุปมา) เท็จจริง (ความหมายอยู่คำต้นหรือคำท้าย) ชอบมาพากล (ความหมายอยู่ที่คำต้นและคำท้าย)
     ๒. คำซ้อนเพื่อเสียง เน้นเสียงสัมผัส ทำให้เกิดความไพเราะ โดยต้องมีเสียงพยัญชนะต้นเดียวกัน เช่น เกะกะ ขรุขระ คึกคัก จริงจัง แจกแจง เพลิดเพลิน


คำประสม
     คำประสม = นำคำมูลที่มีความหมายไม่สัมพันธ์กันตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมารวมกัน
     หลักการสร้างคำประสม สร้างจากคำมูลชนิดใดและภาษาใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคำมูลชนิดเดียวกัน วางคำหลักไว้หน้า คำขยายไว้หลัง คำใหม่ที่เกิดขึ้นมีความหมายโดยนัยแต่ยังคงเค้าความหมายเดิม เช่น นอกคอก (บุพบท+นาม) ม้าใช้ (นาม+กริยา) เขียวหวาน (วิเศษณ์+วิเศษณ์) กันสาด (กริยา+กริยา) คำประสมส่วนมากจะประกอบด้วยคำมูลที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง ยกเว้นคำที่ประสมด้วย ชาว นัก ผู้ ช่าง การ ความ เครื่อง กระ ประ

ข้อสังเกต
     – หากรวมกันแล้วคงความหมายเดิม ไม่จัดว่าเป็นคำประสม แต่จัดเป็นวลี เช่น พ่อวัว ลูกแมว ตู้เหล็ก
     – คำประสมเกิดจากคำมูลที่มีความหมายต่างกัน หากคำมูลมีความหมายเหมือนกันจัดเป็นคำซ้อน
     – คำประสม=คำหลัก+คำขยาย แต่คำสมาส=คำขยาย+คำหลัก เช่น ผลผลิต (ประสม) ผลิตผล (สมาส)


คำพ้อง

คำพ้องรูป = รูปเหมือน เสียงต่าง

            เขมา ออกเสียง เข-มา หมายถึง สบายใจ ออกเสียง ขะ-เหฺมา หมายถึง เครื่องยา

คำพ้องเสียง = เสียงเหมือน รูปต่าง

            คำที่ออกเสียง สัน เช่น ศัล (เปลือกไม้) สรร (คัด เลือก) สรรค์ (สร้าง) สรรพ์ (ทุกสิ่ง)  สัณฑ์ (ดง)

คำพ้องความหมาย = ความหมายเหมือน เสียงและรูปต่าง = คำไวพจน์

            บุหรง ปักษา ปักษิน ปักษี พิหค วิหค สุโนก หมายถึง นก


คำสมาส
     คำสมาส = นำคำบาลีสันสกฤตที่มีความหมายต่างกันตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมารวมกัน
     ความแตกต่างระหว่างคำสมาสกับคำประสม

ความแตกต่าง

คำสมาส

คำประสม

๑. ที่มาของคำ

คำภาษาบาลีสันสกฤตเท่านั้น

คำภาษาใดก็ได้

๒. การเรียงคำและการแปลความหมาย

 

คำขยาย+คำหลัก แปลจากหลัง

คำหลัก+คำขยาย แปลจากหน้า

๓. การเขียนสะกดคำ

ไม่ประวิสรรชนีย์หรือมีทัณฑฆาตตรงพยางค์ท้ายของคำหน้า

ประวิสรรชนีย์หรือมีทัณฑฆาตตรงพยางค์ท้ายของคำหน้า

๔. การออกเสียงอ่าน

ออกเสียงสระตรงพยางค์ท้ายของคำหน้า

ไม่ออกเสียงสระตรงพยางค์ท้ายของคำหน้า

 

     หลักการสร้างคำสมาส นำคำบาลีสันสกฤตตั้งแต่สองคำขึ้นไปมาประกอบกัน โดยเรียงคำหลักไว้หลัง คำขยายไว้หน้า และไม่ประวิสรรชนีย์หรือใช้ทันฑฆาตกำกับตรงพยางค์ท้ายของคำหน้า เช่น ธุรการ แพทยศาสตร์ ยกเว้น พระ ที่กลายเสียงจาก วร จัดเป็นคำสมาส เช่น พระกร พระขรรค์ พระฉาย
     หลักการสนธิคำสมาส
     การสนธิสระ คือ การกลมกลืนเสียงสระ ระหว่างพยางค์ท้ายของคำหน้ากับพยางค์หน้าของคำหลัง

พยางค์ท้าย

ของคำหน้า

พยางค์หน้า

ของคำหลัง

หลักการสนธิ

ตัวอย่าง

อะ/อา

อะ

ใช้สระของพยางค์หน้าคำหลัง

พุทธางกูร (พุทธ+อังกูร)

อะ/อา

อา หรืออื่น ๆ

ใช้สระของพยางค์หน้าคำหลัง

ราโชวาท (ราช+โอวาท)

 

 

หากพยางค์หน้าคำหลังสระ อิ เปลี่ยนเป็น เอ

นเรศวร (นร+อิศวร)

 

 

หากพยางค์หน้าคำหลังสระ อุ เปลี่ยนเป็น อู/โอ

ราชูปถัมภ์ (ราช+อุปถัมภ์) นโยบาย (นย+อุบาย)

อิ/อี

อิ

ใช้สระของพยางค์หน้าคำหลัง อาจเปลี่ยนเป็น เอ ก็ได้

มุนินทร์, มุเนนทร์  (มุนิ+อินทร์)

อิ/อี

อื่น ๆ ยกเว้น อิ

เปลี่ยนสระของพยางค์ท้ายคำหน้าเป็น แล้วประสมกับสระของพยางค์หน้าคำหลัง แต่ถ้าพยางค์หน้าคำหลังสระ อะ ให้เปลี่ยนเป็น อา

กิตยากร (กิตตย+อากร = กิตติ+อากร)

ราชินยานุสรณ์ (ราชินย+อนุสรณ์ = ราชินี+อนุสรณ์)

 

 

บางกรณีไม่เปลี่ยน อิ/อี เป็น  แต่ใช้พยัญชนะต้นในพยางค์ท้ายคำหน้ากับสระพยางค์หน้าคำหลัง

ราชินูปถัมภ์ (ราชินี+อุปถัมภ์)

 

อุ

อุ

ใช้สระของพยางค์หน้าคำหลัง อาจเปลี่ยนเป็น อู โอ ก็ได้

ดนูปถัมภ์ (ดนุ+อุปถัมภ์)

คโรปการ (ครุ+อุปการ)

อุ

อื่น ๆ ยกเว้น อุ

เปลี่ยนสระของพยางค์ท้ายคำหน้าเป็น แล้วประสมกับสระของพยางค์หน้าคำหลัง

สินธวานนท์ (สินธุ+อานนท์)

 

 
 

นฤคหิตสนธิ คือ การเชื่อมคำที่ลงท้ายด้วยนฤคหิตกับคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะหรือสระ

นฤคหิตสนธิ

ตัวอย่าง

นฤคหิตสนธิกับพยัญชนะวรรค

 

สํ+เกต=สังเกต  

สํ+จร=สัญจร  

นฤคหิตสนธิกับพยัญชนะเศษวรรค (ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ)

แปลงนฤคหิตเป็น แล้วจึงสนธิ

สํ+วร=สังวร

สํ+หร=สังหร  

นฤคหิตสนธิกับสระ

แปลงนฤคหิตเป็น แล้วจึงสนธิ

สํ+อาคม=สมาคม  

สํ+โอสร=สโมสร  

 
 

อุปสรรค คือ คำเติมหน้าศัพท์อื่นทำหน้าที่คล้ายวิเศษณ์
คำบาลีสันสกฤตที่ประกอบอุปสรรค/นิบาตและเชื่อมสนธิ

อุปสรรค/นิบาต

ตัวอย่าง

อุปสรรค สํ (ร่วม พร้อม)

สังกร (สํ+กร) : ความร่วมกัน            สัญจร (สํ+จร) : การผ่านไปมา

สัมพันธ์ (สํ+พนฺธ) : เกี่ยวข้องกัน     สัญญา (สํ+ญา) : ข้อตกลงร่วมกัน

นิบาต สยํ (เอง)

 

สยมพร, สยัมพร, สยุมพร (สยํ+วร) : การเลือกคู่ของนางกษัตริย์เอง

สยมภู (สยํ+ภู) : พระผู้เป็นเอง หมายถึง พระพุทธเจ้า หรือพระอิศวร

 

สรุป
การสร้างคำด้วยวิธีต่าง ๆ ทำให้มีคำใช้ในภาษาไทยมากขึ้น เช่น การสร้างคำขึ้นโดยเฉพาะ เรียกว่า คำมูล ซึ่งสามารถนำไปประกอบเป็นคำใหม่ ทั้งคำประสม คำซ้ำ คำซ้อน คำสมาส

 

คำสำคัญ  คำมูล คำซ้ำ คำซ้อน คำประสม คำพ้อง คำสมาส สนธิ

 

 

แหล่งที่มาของเนื้อหา : สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช www.wpp.co.th