เมอซิเยอร์มูโฮต์ นักสำรวจและนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส เดินทางเข้ามายังกรุงสยามในพ.ศ. 2401 ภาพจาก LE TOUR DU MONDE ฉบับภาษาฝรั่งเศส ตีพิมพ์เมื่อ พ.ส. 2406
แรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ของมูโอต์
วันที่ ๒๗ เมษายน ค.ศ. ๑๘๕๘ (พ.ศ. ๒๔๐๑) เมอซิเยอร์อเล็กซองดร์ อองรี มูดอต์ (Monsieur Alexander Henri Mouhot) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวฝรั่งเศส ผู้มีถิ่นพำนักอยู่ในประเ ทศอังกฤษ ได้รับทุนสนับสนุนจากราชสมาคมทางภูมิศาสตร์แห่งกรุงลอนดอน สำหรับการเดินทางสำรวจดินแดนลับแลอย่างประเทศสยาม กัมพูชา และลาว หลังจากเขาได้ใช้เวลาในการติดต่อขอทุนสนับสนุนการสำรวจมาเป็นเวลากว่า ๑ ปี
แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ในการตัดสินใจ เดินทางมายังดินแดนห่างไกลอย่างประเทศสยาม กัมพูชา และลาวของเมอซิเยอร์มูโอต์นั้น เป็นผลมาจากการที่เขาได้อ่านหนังสือ “ราชอาณาจักรและพลเมืองแห่งสยาม” (The Kingdom and People of Siam) ของเซอร์ จอห์น เบาริ่ง (Sir John Bowring) อั ครราชทูตอังกฤษที่เดินทางเข้ามายังราชสำนักสยามในห้วง ค.ศ. ๑๘๕๕ (พ.ศ. ๒๓๙๘) ซึ่งตีพิมพ์ที่กรุงลอนดอนเมื่อ ค.ศ. ๑๘๕๗ (พ.ศ. ๒๔๐๐) รวมถึงหนังสือ “เล่าเรื่องกรุงสยาม” ของพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ด้วยอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งสร้างความประทับใจให้แก่เมอซิเยอร์มูโอต์ อยู่มิใช่น้อยเลยทีเดียว
เมอซิเยอร์มูโอต์ ได้หอบหิ้วกระเป๋าเดินทางพร้อมกล้องถ่ายรูปคู่ใจลงเรืองเดินทางรอนแรมมาจนถึงท่าเรือเมืองสิงคโปร์ในวันที่ ๓ กันยายน ค.ศ. ๑๘๕๘ (พ.ศ. ๒๔๐๑) แล้วเดินทางต่อมาถึงปากน้ำบางเจ้า พระยาของกรุงสยามในวันที่ ๑๒ กันยายน ค.ศ. ๑๘๕๘ (พ.ศ. ๒๔๐๑) ซึ่งเรือได้แล่นข้ามสันดอนทรายมุ่งตรงมายังเมืองบางกอก โดยมาเทียบท่าอยู่หน้าวัดอัสสัมชัญของพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์เจ้าของผลงาน “เล่าเรื่องกรุงสยาม”
ระหว่างที่เมอซิเยอร์มูโอต์ กำลังเตรียมตัวออกเดินทางสำรวจประเทศสยาม กัมพูชา และลาวอยู่นั้น พระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ ได้ถือโอกาสนำเมอซิเยอร์มูโอต์ไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในงานพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำ เนื่องในพระราชวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ตามคำเชิญข องพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระดำเนินไปมารอบโต๊ะอาหาร เพื่อทรงทักทายแขกเหรื่อชาวต่างชาติอย่างเป็นกันเอง พร้อมทั้งตรัสเชื้อเชิญให้แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายดื่มถวายพระพรชัยและรับประทานอาหารเลี้ยงร่วมกัน
เมื่อเมอซิเยอร์มูโอต์กราบบังคมทูลลากลับ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานเหรียญเงินและเหรียญทอง บรรจุอยู่ในถุงของ ขวัญใบงามที่เย็บด้วยผ้าไหมสีเขียวแก่เขา ซึ่งเมอซิเยอร์มูโอต์รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมากในพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว
ภาพวาดลายเส้นชายชาวสยามนั่งตั่ง จากหนังสือเล่าเรื่องกรุงสยามของพระสังฆราชปัลเลอร์กัวซ์ อนุมานว่าวาดจากรูปถ่ายระบบดาแกโรไทป์อาจเป็นฝีมือของพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์หรือบาทหลวงลาร์โนดี เข้าใจว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับรูปถ่ายพระเจ้าน้องยาเธอกรมขุนวรจักรธรานุภาพในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (ภาพที่ 16)
รูปถ่ายพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ(พระองค์เจ้าปราโมช) ประทับสั่งบนตั่ง เข้าใจว่าถ่ายด้วยระบบดาแกโรไทป์ อาจเป็นฝีมือของพระสังฆราชปัลเลอร์กัวซเอง เก็บรักษาอยู่ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ์
สายสัมพันธ์สยามและฝรั่งเศส
หลังจากคุณทูตฝรั่งเศสของเมอซิเยอร์ชาร์ลส์ เดอ มองติคนี (Charles de Montigny) เดินทางเข้ามาขอเจรจาทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรี และการค้าระหว่างรัฐบาลสยามและฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๕๖ (พ.ศ. ๒๓๙๙)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของรัฐบาลฝรั่งเศสในฐานะประเทศมหาอำนาจในระดับเดียวกันกับรัฐบาลอังกฤษ กอปรกับการที่พระสังฆราช ปัลเลอกัวซ์ได้กราบบังคมทูลแนะนำพระองค์ว่า สมเด็จพระจักรพรรดินโปเลียน พระองค์ที่ ๓ ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้มีพระบารมีมากล้นเช่นเดียวกับสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๘๐-๒๔๔๔) แห่งสหราชอาณาจักร พระองค์ทรงมีพระราชดำริจัดส่งคณะทูตสยามเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรียังราชสำนักฝรั่งเศส
แต่ด้วยความที่คณะทูตสยามชุดนี้ยังไม่มีล่ามแปลภาษา เดอกัศเดลโน ผู้ว่าการแทนกงสุลฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯ จึงขอยืมตัวบาทหลวงลาร์โนดี จากพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ เพื่อทำหน้าที่เป็นล่ามใหญ่ติดตามไปกับคณะทูตสยามของพระยาศรีพิพัฒน์ รัตนราชโกษาธิบดี (แพ บุนนาค) ไปเยือนราชสำนักฝรั่งเศสใน ค.ศ. ๑๘๖๑ (พ.ศ. ๒๔๐๔)
พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาสพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้เป็นผู้แทนพระองค์ไปร่วมในพิธีฝังศพพระสังฆราชปัลเลอร์กัวซ์ ณ วัดคอนเซ็ปชัญ ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
รูปถ่ายขบวนแห่ศพของพระสังฆราชปัลเลอร์กัวซ์ขณะเดินทางมาถึงหน้าวัดคอนเซ็ปชัญ สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือการถ่ายรูปของฟรานซิสจิตร ช่างถ่ายรูปยุคแรกของสยามผู้เป็นศิษย์ของบาทหลวงลาร์โนดี
โศกามรณาลัย
หลังจากพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์เดินทางกลับมาจากดินแดนลาวได้ไม่นาน ท่านก็ถึงแก่มรณภาพ ณ วัดอัสสัมชัญ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ค.ศ. ๑๘๖๒ (พ.ศ. ๒๔๐๕) สิริอายุได้ ๕๗ ปี โดยท่านพระสังฆราชได้สั่งเสียไว้กับพวกบาทหลวงและชาวคริสตังให้นำศพของท่านไปฝังไว้ที่วัดคอนเซ็ปชัญ โดยพวกคริสตังเห็นว่าควรแห่ศพท่านพระสังฆราชไปทางน้ำ แต่ติดขัดตรงที่ต้องยกขบวนแห่ศพผ่านทางพระตำหนักแพตรงท่าราชวรดิฐ ซึ่งมีกฎห้ามไว้มิให้ผู้ใดนำศพผ่านบริเวณดังกล่าว
หลังจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบข่าวการมรณภาพของพระสังฆ ราชปัลเลอกัวซ์ ก็ทรงรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากต่อการจากไปของพระอาจารย์และพระสหายต่างศาสนาผู้นี้ พระองค์มีพระราชประสงค์ให้จัดงานศพของท่านพระสังฆราชอย่างสมเกียรติที่สุด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานจัดหีบศพทองทึบของหลวงสำหรับบรรจุศพพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ และพระราชทานกลองชนะ จ่าปี่จ่ากลอง เครื่องประโคมศพ เรือศพ และเรือขบวนแห่งของหลวงเป็นกรณีพิเศษ พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราชนุญาตให้ขบวนเรือแห่ศพของท่านพระสังฆราช ล่องผ่านพระตำหนักแพได้ตามความปรารถนาของพวกคริสตังด้วย
พวกคริสตังได้เชิญหีบศพพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ ขึ้นวอมาลงเรือแห่ศพหลวง แล้วจัด เป็นบวนเรือแห่มาทางน้ำ เพื่อไปทำพิธีฝังยังวัดคอนเซ็ปชัญ พอขบวนเรือแห่ศพล่องมาถึงหน้าพระตำหนักแพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งประทับอยู่ในเรือกลไฟพระที่นั่งมีรับ สั่งให้ลดธงมหาราชลงครึ่งเสา แล้วโปรดเกล้าฯให้กระบวนเรือแห่ศพแวะเข้าถวายลำให้ทอดพระเนตร พระองค์ทรงเปิดพระมาลาน้อมพระเศียรลงคำนับศพและทรงยืนสงบนิ่งไว้อาลัยในการจากไปของพระสหายต่างศาสนาผู้นี้ พระองค์ทรงประพรมน้ำมนต์ แล้วโปรดเกล้าฯพระราชทานรูปเทียนขี้ผึ้ง เครื่องขมาศพ และเงิน ๒๐๐ เฟื้อง เพื่อเป็นเกียรติยศแก่ศพท่านพระสังฆราชเทียมเท่ากับศพขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นการส่วนพระองค์ พร้อมทั้งพระราชทานเงินสำหรับแจกจ่ายแก่บรรดาผู้คนที่มาร่วมในขบวนแห่แทนเจ้าภาพด้วย ขณะเดียวกันพระองค์ก็มีรับสั่งให้เรือหลวงทุกลำที่จอดทอดทุ่นอยู่ในแม่น้ำและป้อมตามชานพระนคร ลดธงลงครึ่งเสาและให้ปืนใหญ่ยิงสลุต ๕ นัด เพื่อแสดงความเคารพศพท่านพระสังฆราช
ขบวนเรือแห่ศพได้เคลื่อนตัวออกจากที่เฝ้าแล่นตรงไปยังวัดคอนเซ็ปชัญ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส (พระองค์เจ้านพวงศ์) เชิญเครื่องขมาศพเสด็จแทนพระองค์ไปร่วมในพิธีฝังศพจนกระทั่งเสร็จสิ้นพิธีการซึ่งนับว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับชาวต่างชาติ ศพของพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ถูกนำมาบรรจุไว้ในกำแพงโบสถ์ด้านทิศเหนือของพระแท่น โดยมีคำจารึกบอกเล่าประวัติของท่านพระสังฆราชไว้บนหินอ่อนด้วยภาษาละตินวันรุ่งขึ้นคณะมิสซังฝรั่งเศสได้นำจดหมายแสดงความขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณมาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งทูลเกล้าฯ ถวายแหวนตำแหน่งยศของพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์สำหรับเป็นที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประทับพระราชหฤทัยในความกตัญญุตาและมีสัมมาคารวะของพวกบาทหลวงคาทอลิก จึงมีพระราชหัตถเลขาตอบรับแหวน ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๖๒ (พ.ศ. ๒๔๐๕) ความตอนหนึ่งกล่าวถึงสัมพันธภาพครั้งเก่าก่อนระหว่างพระองค์กับพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ว่า
“ท่านที่เคารพ เราขอตอบรับหนังสือที่ท่านส่งถึงเราเมื่อวานนี้ เพื่อขอบใจในการที่เราได้มีส่วนช่วยเหลือการปลงศพพระสังฆราชที่เคารพยิ่ง ซึ่งเป็นมิตรที่ดีสนิทสนมและจริงใจของเราเป็นเวลายี่สิบแปดปี...”
พระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ ถือเป็นชาวต่างชาติผู้มีส่วนสำคัญในการนำเอาวิทยาการสมัยใหม่ของชาติตะวันตกเข้าเผยแพร่ในหมู่ชาวสยาม ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญรุดหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศ อันเป็นช่วงเวลาที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกต่างทอดสายตามายังบรรดาประเทศล้าหลังในภูมิภาคตะวันตกไกล ในฐานะ “ลูกแกะน้อย” (รัฐอาณานิคม) เหยื่ออันโอชะของ “สุนัขป่า” (จักรวรรดินิยมตะวันตก” ผู้มากไปด้วยเล่ห์กล
ที่มา : https://haab.catholic.or.th/article/articleart/art05.html