ในหลวง : นางแก้วคู่บารมี
แต่โบราณมา พระเจ้าจักรพรรดิ หรือพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระบรมเดชานุภาพเลิศล้ำจักต้องมีสิ่งที่จัดว่าเป็นสมบัติล้ำค่าส่งเสริมพระบุญญาบารมี ประกอบด้วยขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว และ นางแก้ว หรือ รัตนมหิสี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทย ก็ทรงมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผู้ทรงเพียบพร้อมด้วยพระรูปสมบัติ และพระคุณสมบัติของนางแก้วทุกประการ เป็นคู่พระบุญญาบารมี โดยนับแต่ทรงราชาภิเษกสมรส ดำรงพระราชฐานะสมเด็จพระราชินี จนถึงสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเคียงคู่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาโดยตลอด และโครงการต่างๆ ของพระองค์มักจะสอดคล้อง และมีส่วนสนับสนุนเกื้อกูลกันกับโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่ง ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และที่ปรึกษาสำนักงาน กปร. ก็ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้เหมือนกันว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้สร้างอ่างเก็บน้ำ ก็จะทรงมีพระราชดำริให้ปลูกป่าในบริเวณแหล่งต้นน้ำลำธารขึ้นมาทันที และในมุมกลับกัน เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถจะสร้างโครงการป่ารักน้ำ ก็จะมีการสร้างแหล่งน้ำขึ้นมาทันทีเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า โครงการทั้งสองลักษณะนี้ ความจริงเป็นโครงการที่เดินควบคู่กันไปตลอดเวลา อีกตัวอย่างหนึ่งที่จะทำให้เห็นได้ชัดเจนในเรื่องนี้ก็คือ
เมื่อปี ๒๕๑๓ จังหวัดนครพนมเกิดอุทกภัย มีความเสียหายมาก และทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรพร้อมกับพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ระหว่างพระราชทานสิ่งของนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรารภว่า “การแจกของแก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ เปรียบเสมือนโยนก้อนหินเล็กๆ ลงแม่น้ำ ต้องโยนสักเท่าใดจึงจะเพียงพอให้พวกเขาได้อยู่รอดน่าจะหาอะไรให้เขาทำ เพื่อมีรายได้สม่ำเสมอตลอดไป” สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถก็ทรงรับสนองกระแสพระราชปรารภด้วยการหาทางให้ราษฎรใช้เวลาว่างจากงานอาชีพหลัก หรือพวกสตรีแม่บ้าน มาทำงานฝีมือที่พวกตนคุ้นเคยอยู่แล้ว เช่นเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่ม ที่ถ่ายทอดภูมิปัญญากันมาแต่ครั้งปู่ย่าตายายและโดยปกติเคยทำเพื่อใช้เอง ให้พัฒนาไปสู่การทำเพื่อจำหน่าย ซึ่งนอกจากจะทำให้ราษฎรรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แล้ว พวกเขาจะมีรายได้จากอาชีพเสริมนี้มาเพิ่มความเป็นปึกแผ่นให้กับครอบครัวตรงกับพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ผ้าไหมมัดหมี่ ซึ่งแต่เดิมชาวอีสานจะทอไว้ใช้เองในโอกาสพิเศษและกำลังจะสูญหายไปจากภาคอีสานเวลานั้น เป็นงานหัตถศิลป์อันดับแรกที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงส่งเสริมอย่างจริงจัง ทั้งนี้เนื่องจากทรงเห็นความงดงามของผ้ามัดหมี่ขณะราษฎรสตรีนุ่งมาเฝ้าฯ รับเสด็จ และทรงทราบว่า ราษฎรอีสานทุกๆ ครัวเรือนรู้จักการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และทอผ้าไหมเป็นกันแทบจะทั้งนั้น เพราะต่างก็ได้สืบทอดภูมิปัญญาและฝีมือกันมาจากบรรพบุรุษของตน อีกทั้งอุปกรณ์การทอก็มีอยู่แล้ว ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินลงทุน
ระยะแรกๆ ที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงชักชวนให้ชาวบ้านทอผ้ามัดหมี่เป็นอาชีพเสริมนั้น ได้เสด็จฯ ตรวจผลงานถึงเรือนชานราษฎรด้วยพระองค์เองบ่อยครั้ง และพระราชทานคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงคุณภาพของชิ้นงานให้ได้มาตรฐาน เช่นการทอผ้าให้แน่น เนียนเรียบ การใช้สีย้อมที่มีคุณภาพเพื่อให้ผ้ามีสีเสมอกัน การปรับปรุงลวดลาย และปรับขนาดผืนผ้าให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด หรือผู้บริโภค เช่นให้ขยายฟืมทอผ้าเพื่อให้ได้ผ้าที่มีหน้ากว้างขึ้น ทอผ้าให้ยาวขึ้นเพื่อสะดวกในการนำไปตัดเสื้อผ้าเป็นชุด หรือตัดเสื้อสูท นอกจากนั้นยังทรงส่งราชเลขานุการไปพบปะชาวบ้าน ให้คำแนะนำและรับซื้อโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง พร้อมกันนั้นก็ทรงเป็นผู้นำในการแต่งพระองค์ด้วยผ้าไหมมัดหมี่ ซึ่งเมื่อมาประกอบเข้ากับพระปรีชาสามารถในการนำผ้ามัดหมี่ออกเผยแพร่ต่อนักออกแบบแฟชั่นเสื้อผ้าชาวต่างชาติที่มีชื่อเสียงของโลกได้รู้จัก ทำให้ผ้าไหมมัดหมี่ได้รับความนิยมในวงกว้าง ส่งผลให้ราษฎรก็มีรายได้จากการทอผ้าจำหน่ายเป็นกอบเป็นกำ มีกำลังใจที่จะปรับปรุงงานของตนให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทั้งคนหนุ่มคนสาวก็หันมาสนใจที่จะขอถ่ายทอดภูมิปัญญาอันมีค่านี้จากผู้สูงอายุที่มีฝีมือ และความชำนาญกันมากขึ้น เพราะจะมีรายได้ไปเลี้ยงครอบครัว ซึ่งการถ่ายทอดเทคนิควิธีในการมัดหมี่จากผู้มีฝีมือสู่ผู้เยาว์นี้เอง เป็นผลดีต่อการอนุรักษ์ศิลปะแขนงนี้ไม่ให้สูญหายไปเหมือนประเทศอื่นๆ ที่เคยมี แต่ไม่ได้รักษาไว้และเสียดายกันอยู่ทุกวันนี้
ความสำเร็จของโครงการทอผ้าไหมมัดหมี่ นอกจากจะทำให้ราษฎรมีรายได้เสริมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างที่กล่าวมาแล้ว ยังส่งผลให้มีการฟื้นฟูและอนุรักษ์ผ้าทอพื้นเมืองอื่นๆ รวมถึงงานศิลปประดิษฐ์ต่างๆ อีกด้วย เวลานี้งานหัตถศิลป์หลายแขนงเป็นที่นิยม และสร้างรายได้ นำความอยู่ดีกินดีให้แก่ราษฎรในวงที่กว้างออกไปทั่วประเทศ ทั้งมีหลักประกันว่าภูมิปัญญาอันล้ำค่านี้จะเป็นมรดกของชาติตลอดไป เพราะได้โปรดเกล้าฯให้มีการบันทึกไว้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงได้ทรงมีรับสั่งกับกลุ่มนักข่าวหญิงเมื่อครั้งขอพระราชทานสัมภาษณ์เรื่องไหมมัดหมี่เมื่อปี ๒๕๒๓ ว่า “ เรื่องศิลปาชีพเริ่มต้นจากมัดหมี่ ”โดยในปี ๒๕๑๙ นั้นก็ได้มีการรวบรวมโครงการที่กระจายตัวอยู่ในหลายภูมิภาคเข้ามารวมในหน่วยงานส่วนกลาง ก็คือ “มูลนิธิศิลปาชีพฯ” ซึ่งมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเป็นประธานกรรมการนั่นเอง
การปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชน สนองพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถดังนี้ จัดว่าทรงเป็นรัตนมหิสี หรือ“นางแก้ว”คู่พระบุญญาบารมีโดยแท้ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคมที่จะเวียนมาบรรจบนี้ จึงควรที่เราชาวไทยจักได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และพร้อมใจกันน้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ที่มา - คุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ : นิตยสารสกุลไทย ๒๒, ๒๙ มิ.ย. ๔๗ / ๗, ๑๔, ๒๑ มิ.ย. /๑๒ ก.ค. / ๑๖ ส.ค. ๔๘
- อาริยา สินธุ : นิตยสารสกุลไทย ๑๒ ส.ค. ๔๖
- หนังสือจากฟ้า-สู่ดิน เล่ม ๒ ของสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ
ข้อมูลจาก บทความพิเศษประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท เรื่อง "นางแก้วคู่พระบารมี" ผลิตโดยงานบริการผลิต ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ ฝ่ายออกอากาศวิทยุกรุงเทพ