เวลานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทยทรงได้ชื่อว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์มายาวนานที่สุดในโลกแล้ว โดยทรงครองราชย์ครบ ๖๐ ปี เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเราชาวไทยก็ได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองฯ กันอย่างยิ่งใหญ่ตลอดปีนี้ เพื่อเทิดพระเกียรติ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงเพียรพยายามพัฒนาคุณภาพชีวิตพสกนิกรชาวไทยให้ดีขึ้นโดยมิได้เลือกชาติ ชั้น วรรณะ จนทุกวันนี้ประชาชนที่เคยยากไร้ขัดสนในภูมิภาคต่างๆ ก็ได้มีความรู้ความสามารถพอที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการประกอบอาชีพให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยตนเอง ทั้งสามารถ เลี้ยงตนเองและครอบครัวให้มีความสุขได้ตามสมควร ดังที่สถานีวิทยุ อสมท ได้นำ พระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติด้านต่างๆ ออกเผยแพร่อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ๒๕๔๙ นับตั้งแต่เสด็จฯ ขึ้นครองราชย์ ได้ทรงพัฒนา “คน” ด้วยการพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่การศาสนา ได้พระราชทานความช่วยเหลือทางด้านสาธารณสุขให้พสกนิกรไทยมีสุขภาพแข็งแรง ได้พระราชทานความช่วยเหลือทางด้านการศึกษาทั้งในระบบโรงเรียนและนอกโรงเรียน ซึ่งเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริงในโครงการตามพระราชดำริต่าง ๆ เพื่อให้คนไทยมีความรู้ความความสามารถในการติดตามความก้าวหน้าต่างๆ ทั้งวิชาการ อาชีพ และสังคมโลกได้ทัน จากเรื่องของการ “พัฒนาคน” ต่อไปท่านจะได้ทราบเรื่องของพระปรีชาสามารถในการบริหารจัดการกับปัญหาใหญ่ของเกษตรกรไทย ได้แก่ปัญหา “น้ำ” และ “ดิน” ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการพัฒนา (ตอนที่ ๓)
ไทยเราเป็นประเทศกสิกรรม ราษฎรส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ๘๐ ประกอบอาชีพทางการเกษตร จากการเสด็จฯ เยี่ยมราษฏรในทุกภูมิภาคอย่างใกล้ชิด ก็ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่าปัญหาใหญ่ของพสกนิกรที่ประกอบอาชีพทางการเกษตร คือเรื่องของ“น้ำ” กับ “ดิน” เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ยากจน ดังนั้นหลังจากพระราชทานความช่วยเหลือเป็นการเฉพาะหน้าแล้ว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรกรรมทุกแขนงอย่างจริงจัง และครบวงจร ทุกขั้นทุกตอน อันเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน
“น้ำ” มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตมนุษย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักดี ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่ง ที่ว่า
“......หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้....”
อีกทั้งยังทรงตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และแหล่งน้ำให้ดี ก่อนที่ประเทศไทยจะต้องประสบกับความเดือดร้อนในเรื่องน้ำอย่างรุนแรง ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งที่ว่า
“......น้ำมีมากในโลก เป็นน้ำทะเลเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะใช้อย่างนี้ไม่ได้ แล้วนอกจากนั้นเดี๋ยวนี้ที่กำลังมีมากขึ้นก็คือน้ำเน่า จะต้องป้องกันไม่ให้มีน้ำเน่า จะมีอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำเน่านั้นเป็นโทษมากเกินไป ฉะนั้นนี่เป็นอีกโครงการหนึ่งที่เราต้องปฏิบัติ แล้วก็ถ้าไม่จัดการโดยเร็ว เราก็จะนอนอยู่ในน้ำเน่า น้ำดีจะไม่มีใช้ แม้จะไปซื้อจากต่างประเทศมาก็กลายเป็นน้ำเน่าหมด เพราะว่าเอามาใช้โดยไม่ได้ระมัดระวัง วันก่อนนี้เราพูดถึงปัญหาว่าเมืองไทยนี้อีกหน่อยจะแห้งแล้งไป ไม่มีน้ำเหลือ จะต้องไปซื้อน้ำจากต่างประเทศ ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าถ้าคำนวณดูน้ำในประเทศไทยที่ไหลเวียนนั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ต้องบริหารให้ดี ถ้าบริหารให้ดีแล้วยังมีเหลือเฟือ มีตัวเลขแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้ไปแยกแยะตัวเลขเหมือนที่ได้แยกแยะตัวเลขของคาร์บอน น้ำนั้นน่ะในโลกมีมากแล้ว ที่ใช้จริงๆมันเป็นเศษหนึ่งส่วนหมื่นของน้ำที่มีอยู่ อาจไม่ถึงก็ต้องบริหารให้ดีเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำ น้ำนี้จะต้องใช้ให้ดี คือน้ำนั้นมีคุณอย่างที่เราใช้น้ำสำหรับบริโภค น้ำสำหรับการเกษตร น้ำสำหรับอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้ต้องใช้น้ำที่ดี หมายความว่าน้ำที่สะอาด ถ้าเรามีน้ำแล้วมาใช้อย่างระมัดระวังข้อหนึ่ง และควบคุมน้ำที่เสียอย่างดีอีกข้อหนึ่ง ก็อยู่ได้ เพราะว่าภูมิประเทศของประเทศไทย “ยังให้” ใช้คำว่า “ยังให้” ก็หมายความว่ายังเหมาะแก่การอยู่กินในประเทศนี้ ไม่ใช่ไม่เหมาะ ประเทศไทยนี้เป็นที่ที่เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาเอาไว้ ไม่ทำให้ประเทศไทยซึ่งเป็นสวน เป็นนา กลายเป็นทะเลทราย ก็ป้องกันได้ ทำได้.....”
พระราชดำรัสนี้จึงเป็นที่มาของการพระราชทานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระพระราชดำริที่สำคัญๆ หลายโครงการ โดยแต่ละโครงการจะอำนวยประโยชน์แก่ราษฎรตามสภาพของปัญหาในแต่ละพื้นที่
ฝนหลวง
“ฝนหลวง” เกิดขึ้นจากแรงบันดาลพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อคราวเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในจังหวัดกาฬสินธุ์ ปี ๒๔๙๘ ได้ทรงสังเกตุพบว่า“มีก้อนเมฆฝนมาก น่าจะมีฝนตก แต่กลับไม่ตกดังคาด” จึงได้ทรงทุ่มเทเวลา คิดค้น วิจัยหาแนวทางที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาทำฝนในประเทศไทย ซึ่งต้องทรงใช้เวลาเกือบ ๑๐ ปี จึงได้เริ่มโครงการพระราชดำริฝนหลวงหรือ ฝนเทียมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ มี ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวงเป็นผู้ดำเนินการสนองพระราชดำริ จัดตั้งโครงการค้นคว้าทดลองการทำฝนเทียม ได้ทำการทดลองกับเมฆในท้องฟ้าครั้งแรกที่บริเวณอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในเดือนกรกฎาคม แต่การทดลองครั้งนั้น ถึงแม้หลังปฏิบัติการประมาณ ๑๕ นาทีจะมีก้อนเมฆมารวมตัวกันหนาแน่น ก่อยอดสูงและมีขนาดใหญ่ รวมทั้งสีของฐานเมฆก็เปลี่ยน ดูว่าพร้อมที่จะตกเป็นฝน แต่ไม่สามารถสังเกตุเห็นฝนตกได้เพราะยอดเขาบัง จึงทรงแนะนำให้เปลี่ยนสถานที่ทดลองไปใช้บริเวณศูนย์โครงการพัฒนาชนบทไทย-อิสราเอล อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และศูนย์โครงการพัฒนาหมู่บ้านเขาเต่า อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์แทน เพราะเป็นพื้นที่ที่ประสบความแห้งแล้งติดต่อกันมาหลายปี และจะติดตามสังเกตุการทดลองได้ดีกว่า ด้วยความร่วมมือจากตำรวจตระเวณชายแดนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามแนวเทือกเขาตะนาวศรีด้านตะวันตก การรายงานผลก็ทำได้รวดเร็วโดยผ่านข่ายสื่อสารของกรมตำรวจ และถ้าหากเกิดฝนตกมากเกินความต้องการ ก็สามารถระบายลงสู่ทะเลได้ จะไม่เกิดอุทกภัยทำความเสียหายให้แก่ราษฎร
“การทำฝน” เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่ต่อการรับรู้ของคนทั่วไปในสมัยนั้น นักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ก็ยังไม่มี ทำให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงเป็นกำลังสำคัญตั้งแต่แรกตั้งโครงการตลอดจนการพัฒนากิจกรรมนี้โดยตลอดทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
ในปี ๒๕๑๔ เกษตรกรในจังหวัดพิจิตรและนครสวรรค์ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอให้ทำฝนช่วยเหลือนาข้าวของทั้งสองจังหวัดที่กำลังประสบภัยแล้งใกล้จะเสียหาย ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการทดลองปฏิบัติการช่วยเหลือพื้นที่เกษตรกรรมเป็นครั้งแรก ซึ่งปรากฏว่าประสบความสำเร็จ นาข้าวของทั้งสองจังหวัดดังกล่าวรอดพ้นความเสียหายจากภัยแล้งครั้งนั้นได้อย่างสมบูรณ์ นับจากนั้นมาก็ได้มีการปฏิบัติการช่วยเหลือตามการร้องเรียนเพิ่มมากขึ้น ควบคู่กันไปกับการพัฒนากรรมวิธีโดยตลอดพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานโครงการฝนหลวงเพื่อช่วยเหลือราษฎรให้พ้นจากภัยแล้งเป็นผลสำเร็จนี้ เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วไป ในปี ๒๕๑๕ ได้มีคณะผู้แทนจากสาธารณรัฐสิงคโปร์มาขอศึกษาและดูการทำฝนหลวงด้วย ในครั้งนั้นทรงรับอำนวยการสาธิตด้วยพระองค์เอง โดยทรงกำหนดสนามบินบ่อฝ้าย ในเขตอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ติดต่ออำเภอชะอำของจังหวัดเพชรบุรีให้เป็นฐานปฏิบัติการ โดยกำหนดให้พื้นที่ลุ่มรับน้ำของเขื่อนแก่งกระจานเป็นพื้นที่เป้าหมาย เป็นการสาธิตที่ท้าทายมากเพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยปฏิบัติการมา แต่ก็ปรากฏว่าหลังจากเริ่มปฏิบัติการไม่เกิน ๕ ชั่วโมง ก็ทรงสามารถบังคับให้ฝนตกลงสู่อ่างเก็บน้ำที่เขื่อนแก่งกระจานได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้ในปี ๒๕๑๖ ก็ทรงสามารถสรุปกรรมวิธีการทำฝนหลวงไว้ ๓ ขั้นตอนคือ ก่อกวน เลี้ยงให้อ้วน แล้วโจมตี แล้วจึงพระราชทานให้ใช้เป็นหลักของการปฏิบัติการฝนหลวงมาจนทุกวันนี้
และสิ่งที่นำความปลาบปลื้มมาสู่พสกนิกรไทยก็คือ สำนักสิทธิบัตรยุโรป (EPO) ได้ออกสิทธิบัตร “ฝนหลวง” เลขที่ ๑๔๙๑๐๘๘ ภายใต้ชื่อ “Weather Modification by Royal Rainmaking Technology” ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว โดยมีกลุ่มประเทศที่สามารถขยายผลคุ้มครองทั้งสิ้น ๓๐ ประเทศ และสิทธิบัตรยุโรปนี้มีอายุ ๒๐ ปี นับแต่วันขอสิทธิบัตร ดังนั้น สิทธิบัตร“ฝนหลวง”นี้จึงจะไปหมดอายุในวันที่ ๓ กันยายน ปี ๒๕๖๖
“ฝนหลวง” ยังอำนวยประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกมากมายมหาศาล นอกเหนือจากช่วยบรรเทาความเสียหายทางด้านการเกษตรจากภัยแล้ง เช่น
- ทำให้พื้นที่ลุ่มรับน้ำของแม่น้ำสายต่างๆ มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น เท่ากับเป็นการช่วยป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ในขณะที่น้ำในแม่น้ำมีน้อย ตัวอย่างที่จะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนก็คือ ถ้าน้ำในแม่น้ำมีน้อยการคมนาคมทางเรือซึ่งมีความสำคัญมากในการขนส่งสินค้าเพราะมีราคาถูกก็จะสะดุด หรือทำได้ด้วยความลำบาก เนื่องจากสันดอนบางแห่งบางช่วงที่โดยปกติก็อยู่ใต้น้ำไม่เป็นอุปสรรคอันใด แต่พอน้ำน้อยก็จะตื้นขึ้นเป็นอุปสรรคการเดินทาง
- สำหรับแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีเส้นทางติดต่อถึงอ่าวไทย ถ้าปริมาณน้ำลดน้อยลงเมื่อใด จะเกิดความเดือดร้อนมากต่อผู้ใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะน้ำเค็มจากทะเลอ่าวไทยก็จะไหลหนุนเนื่องเข้ามาแทนที่น้ำจืดได้ทันที ทำให้น้ำในแม่น้ำฯมีรสกร่อย จะเกิดผลเสียหายต่อการเกษตร จำเป็นต้องปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลมาเพิ่มปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อผลักดันน้ำเค็มไม่ให้หนุนเนื่องเข้ามาทำความเสียหายได้ การที่มีน้ำจากฝนหลวงมาเพิ่มปริมาณน้ำในแม่น้ำฯ นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาน้ำเค็มหนุนเนื่องอย่างที่กล่าวมาแล้ว ยังจะช่วยผลักดันขยะมูลฝอยในแม่น้ำออกสู่ทะเลไปพร้อมๆ กับการเจือจางน้ำเน่าเสียในแม่น้ำเจ้าพระยาไปในตัวด้วย
- อ่างเก็บน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง เป็นแหล่งน้ำที่จำเป็นต่อการอุปโภคบริโภคและการประกอบอาชีพของผู้คน ยกตัวอย่างในภาคอีสาน ซึ่งมักจะขาดแคลนน้ำ เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินร่วน ปนทราย ไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ ใต้พื้นดินบางแห่งก็ยังมีแหล่งหินเกลือครอบคลุมเป็นพื้นที่กว้าง เมื่อใดน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กหรือขนาดกลางมีปริมาณน้อยเกลือที่อยู่ชั้นล่างก็จะเกิดการละลายแล้วลอยตัวขึ้นทำให้น้ำมีรสกร่อยหรือเค็ม สร้างความเดือดร้อนอย่างยิ่งต่อประชาขน การมีฝนหลวงมาเพิ่มปริมาณน้ำให้กับอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง และขนาดเล็ก หรือตามห้วย หนอง คลอง บึง จึงเท่ากับมาช่วยแก้ปัญหาคุณภาพน้ำให้ชุมชนนั่นเอง แต่ถ้าคิดต่อไปว่าฝนหลวงช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ๆ เช่นเขื่อนภูมิพล หรือเขื่อนสิริกิติ์ด้วย ก็ยิ่งจะเห็นประโยชน์อย่างใหญ่ขึ้นไปอีก เพราะทุกวันนี้เราทราบกันดีว่า ได้มีการนำน้ำจากเขื่อนดังกล่าวมาใช้ประโยชน์หลายอย่าง เช่นใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าส่งให้ใช้กันอย่างทั่วถึง ทั้งใช้เพื่อแสงสว่าง และเพื่อการอุตสาหกรรม ช่วยผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา และใช้เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางวัฒนธรรมประเพณี เช่นงานลอยกระทงเป็นต้น เมื่อใดที่น้ำในเขื่อนน้อยเราจะมีความวิตกกังวลกันมากมายเพราะจะไม่มีน้ำมาใช้ประโยชน์อย่างที่กล่าวมา การมีฝนหลวงมาช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนอย่างไม่ขาดแคลน จึงเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ
“การชลประทาน” เป็นพระราชกรณียกิจด้านหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทความสนพระราชหฤทัย และทรงปฏิบัติควบคู่กันไปกับการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร ด้านอื่น โดยอาศัยความร่วมมือจากกรมชลประทาน และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำการศึกษาข้อมูลเพื่อพิจารณาจัดสร้างเขื่อน ฝาย อ่างเก็บน้ำ คลองระบายน้ำ และคลองส่งน้ำต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนเกี่ยวกับ “น้ำ” ที่ราษฎรประสบอยู่ให้หมดไป ได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรสภาพภูมิประเทศจริง ทั้งต้นน้ำลำธาร และพื้นที่การเกษตร และทรงสอบถามชาวบ้านในพื้นที่เกี่ยวกับชื่อ และตำแหน่งที่ตั้งของแหล่งน้ำ ลำธาร แล้วทรงตรวจสอบกับแผนที่ที่จะทรงถือติดพระหัตถ์อยู่เสมอว่าตรงกันหรือไม่ เมื่อได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกัน แล้วจึงทรงกำหนดแนวทางแก้ไข สำหรับแนวพระราชดำริด้านชลประทานอย่างกว้างๆ ก็คือ ระบายน้ำส่วนเกินที่อาจสร้างความเสียหายแก่ราษฎรไปเก็บกักไว้ในอ่างเก็บน้ำ เพื่อระบายต่อไปยังพื้นที่ที่ทำการเกษตรในช่วงขาดแคลนน้ำ พื้นที่ใดที่มีน้ำขังตลอดปีก็ให้ขุดคลองเพื่อระบายน้ำออก ให้พื้นที่บริเวณนั้นแห้งขึ้น จนใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมได้ และผลของการขุดคลองซอยไปเชื่อมกับลำคลองธรรมชาติสำหรับส่งน้ำไปยังพื้นที่เพาะปลูกนั้น ยังเกิดผลพลอยได้ขึ้น คือมีแหล่งน้ำสำหรับเพาะพันธุ์สัตว์น้ำเพิ่มขึ้น ราษฎรก็มีแหล่งอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้น โครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริมีมากกว่า ๑,๐๐๐ โครงการ แต่ละโครงการก่อสร้างอย่างเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ กับแหล่งน้ำและสอดคล้องกับปัญหาของแต่ละท้องที่ แต่ในภาพรวมสามารถจำแนกประเภทได้ดังนี้
- โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก และอุปโภคบริโภค ได้แก่ อ่างเก็บน้ำ ฝายทดน้ำที่ก่อสร้างบริเวณต้นน้ำ หรือใกล้ลำน้ำ แล้วสร้างระบบส่งน้ำไปเก็บไว้ที่บ่อจ่ายน้ำ ราษฎรสามารถขุดคูจากบ่อน้ำ จ่ายไปยังแปลงเพาะปลูกโดยตรง วิธีนี้ช่วยให้ราษฎรมีน้ำกินน้ำใ