เห่เรื่องพระอภัยมณี
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
06 ส.ค. 64
 | 8.3K views



 

เห่เรื่องพระอภัยมณี

        พระอภัยมณีและศรีสุวรรณ เป็นโอรสของท้าวสุทัศน์และพระนางประทุมเกสรแห่งกรุงรัตนา เมื่อทั้งสองพระองค์ เจริญพระชันษาถึงเวลาต้องเรียนหนังสือ ท้าวสุทัศน์จึงส่งพระโอรสไปศึกษาวิชากับทิศาปาโมกข์ ตามโบราณราชประเพณี พระอภัยมณีและศรีสุวรรณออกเดินทางไปจนถึงหมู่บ้านจันตคาม พบทิศาปาโมกข์สองคน คนหนึ่ง ชำนาญทางปี่ อีกคนหนึ่งชำนาญทางกระบอง ทั้งสองคนมีความเลื่อมใส จึงสมัครเป็นศิษย์ขอเรียนวิชาอยู่ในสำนัก นั้น พระอภัยมณีเรียนเป่าปี่ ส่วนศรีสุวรรณเรียนการต่อสู้ด้วยกระบองครั้นเรียนสำเร็จแล้ว พระอภัยมณีและศรีสุวรรณก็ลาอาจารย์ทิศาปาโมกข์กลับบ้านเมือง แต่เมื่อท้าวสุทัศน์ ทรงทราบว่าพระโอรสไปเรียนวิชาอะไรมา ก็กริ้วนัก ว่าเลือกเรียนวิชาชั้นต่ำ ไม่สมกับเป็นโอรสของกษัตริย์ จึง ขับไล่พระโอรสทั้งสองออกจากบ้านเมือง ทั้งสองคนเดินทางร่อนเร่ไปได้รับความลำบากนัก ศรีสุวรรณยังปลอบโยน พระอภัยมณี เป็นคติเตือนใจถึงคุณค่าของการมีวิชาความรู้ว่ามีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดีพระอภัยมณีและศรีสุวรรณเดินทางผ่านป่าเขาลำเนาไพรมาจนถึงชายทะเลแห่งหนึ่ง ในกลอนกล่าวถึง ว่า "มหิงษสิงขร" และยังมีคำว่าสิงขรอีกหลายแห่ง จนกาญจนาคพันธุ์เชื่อว่าไม่ใช่กลอนพาไป แต่เป็นการจงใจ ระบุถึงชื่อนี้จริง ๆ นั่นก็คือ "ด่านสิงขร" ชายทะเลเขตไทยทางด้านอ่าวอันดามันที่ริมชายทะเลนี้ ทั้งสองพระองค์ได้พบกับพราหมณ์สามสหาย คือโมรา ผู้มีวิชาผูกสำเภายนต์ สานน ผู้มีความ สามารถเรียกลมฝน และวิเชียร ผู้เชี่ยวชาญการยิงธนู สามารถยิงได้ทีละเจ็ดลูก เมื่อไต่ถามทำความรู้จักกันแล้ว พราหมณ์ทั้งสามสงสัยว่า วิชาดนตรีของพระอภัยมณีนั้นดีอย่างไร พระอภัยมณีจึงเป่าปี่ให้ฟัง ทำให้พราหมณ์ทั้งสาม และศรีสุวรรณหลับไป ครั้งนั้น ยังมีนางผีเสื้อน้ำตนหนึ่ง อาศัยอยู่ในทะเล เที่ยวหาปลาและสัตว์น้ำกินเป็นอาหาร ระหว่างที่พระอภัยมณีเป่าปี่ บวงสรวงพระไทรอยู่นั้น นางผีเสื้อน้ำกำลังออกหากิน และได้ยินเสียงปี่แว่วมา จึงเดินทางมาตามเสียง เมื่อได้เห็นพระอภัยมณี ก็นึกรักทันที ใคร่จะได้มาเป็นสามี จึงใช้กำลังเข้าลักพาตัวพระอภัยมณีไปยังถ้ำของตนพระอภัยมณีตกใจจนสิ้นสติ เมื่อฟื้นคืนมาพบตัวเองอยู่ในถ้ำ และมีหญิงสาวสวยงามปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ทรงรู้ทันทีว่า หญิงนี้คือนางยักษ์ ด้วยไม่มีแววตา ทรงหว่านล้อมขอให้ปล่อยตัวพระองค์ไป แต่นางผีเสื้อน้ำไม่ยินยอม ทั้งเกลี้ยกล่อมและใช้ กำลัง จะให้พระอภัยมณียอมเป็นสามีตนให้ได้ พระอภัยเห็นว่าไม่มีทางหนี จึงให้นางยักษ์สาบานว่าจะไม่ทำร้าย แล้วจึงจะ ยอมเป็นสามี นางยักษ์ก็ยอมสาบาน พระอภัยมณีจึงจำต้องอยู่ด้วยนางยักษ์แต่นั้นมา โดยนางออกไปหาผลไม้มาถวาย พระอภัยมณีทุกๆ วัน

        บทเห่กล่อมเรื่องพระอภัยมณี มีทั้งสิ้น 8 ช่วง แต่ละช่วงนำมาจากเรื่องราวบางตอนของเนื้อเรื่อง ได้แก่

 

ช่วงที่ 1 ตอนศรีสุวรรณรำพันรักและชมโฉมนางเกษรา

เห่เอยเห่ละห้อย พราหมณ์น้อยศรีสุวรรณ

แรมสำนักตำหนักจันทน์ พระสุริยันสนธยา

 

ให้อาดูรพูนเทวศ ถึงแก้วเกษรา

ได้เห็นพักตร์ลักขณา ยังติดตาทุกนาที

 

ชมแท่นทองที่รองทรง ของอนงค์องค์บุตรี

หอมหวนยวนยี อยู่ในที่ไสยา

 

เผยพระแกลแลกระจ่าง เห็นเดือนสว่างในเวหา

ทรงกลดรจนา เหมือนนวลหน้าพระน้องนวล

 

อนาถหนาวเศร้าสร้อย ให้ละห้อยโหยหวน

นึกเห็นเมื่อเล่นสวน เลิศล้วนลักขณา

 

เนตรขนงวงวิลาศ พิศเพียงบาดนัยนา

พระกรรณแก้วแววตา ดังกลีบผกาโกมล

 

สองกรก็อ่อนชด ดังงอนรถพระสุริยน

ปรางประพระสุคนธ์ พิศเพียงผลลูกจันทน์

 

ทรวดทรงพระองค์อ่อน ดังอัปสรสาวสวรรค์

โกมุทบุษบัน ไม่เทียมถันประทุมา

 

โอฐสะอาดดังชาดจิ้ม เมื่อยามยิ้มดังเลขา

เมื่อเนตรน้องมาต้องตา ดังสายฟ้ามาฟาดทรวง

 

แสนรักสลักอก ยิ่งกว่ายกภูเขาหลวง

จะใคร่อุ้มพุ่มพวง มาแนบทรวงไสยา

 

ผิวเหลืองระเรืองรอง เหมือนเนื้อทองธรรมดา

แม้นสมรักจะลักพา ลงเภตรากางใบ

 

ดูเนื้อน่วมอยู่นุ่มนิ่ม จะชมชิมให้อิ่มใจ

แม้นลมดีจะคลี่ใบ แล่นไปในนที

 

จะปลอบประโลมโฉมฉาย ขึ้นนั่งบนท้ายบาหลี

แย้มสรวลยวนยี จะชวนชี้ให้ชมปลา

 

มีต่างต่างกลางทะเล ทั้งจรเข้เหรา

ฝูงกระโห้ทั้งโลมา เคลื่อนคลาอยู่ตามกัน

 

กุ้งกั้งแลมังกร สลับสลอนหลายพรรณ

นาคราชผาดผัน ปลาอำพันตะเพียนทอง

 

วาฬใหญ่ขึ้นไล่คู่ ผุดฟู่พ่นฟอง

เงือกงูดูคะนอง ลอยล่องชโลธร

 

กริวกราวก็เต้าตาม ฉนากฉลามสลับสลอน

คลาเคล้าสำเภาจร ในสาครรายเรียง

 

เกาะใหญ่ไม้ชะอุ่ม เป็นพุ่มพุ่มเคียงเคียง

เหมือนจอกน้อยลอยเรียง พิศเพียงจะเพลินใจ

 

นิ่งนึกจนดึกดื่น ถอนสะอื้นอาลัย

เคลิ้มระงับหลับไป อยู่ในห้องไสยา เอยฯ

 

 

ช่วงที่ 2 ตอนนางสุวรรณมาลีบวช โดยมีสินสมุทรและอรุณรัศมีบวชตามมาอยู่ด้วย

เห่เอยเห่กล่าว ถึงพระดาวบศนี

องค์สุวรรณมาลี บวชด้วยมีศรัทธา

 

กับสินสมุทรสุดสวาท อรุณราชนัดดา

อยู่เขารุ้งปลายทุ่งนา ออกนั่งหน้ากุฎี

 

แบ่งส่วนกุศลผลบุญ ให้องค์อรุณรัศมี

สาวสุรางค์นางชี แต่ล้วนมีศรัทธา

 

ตัดรักชักประคำ พึมพำภาวนา

เงียบสงัดวัดวา พระสุริยาเย็นรอนรอน

 

ชนีน้อยห้อยโหย วิเวกโหยวิงวอน

จิ้งจอกออกหอน นกนอนรังเรียง

 

เริงร้องซ้องแซ่ คลอแคลกรีดเสียง

น่าดูเป็นคู่เคียง แอ่นเอี้ยงแอบอิง

 

แม่นกกกกอด ลูกพลอดวอนวิง

แจ้วแจ้วแก้วกะลิง จับที่กิ่งไทรทอง

 

นั่งชมโสมนัส กับหน่อกษัตริย์ทั้งสอง

พลบค่ำย่ำฆ้อง เดือนส่องสว่างตา

 

หอมดอกไม้ใกล้กุฏิ สาวหยุดมะลิลา

ยี่หุบบุบณา แย้มผกากลิ่นขจร

 

เย็นยะเยียบเงียบสงัด พระพายพัดมาอ่อนอ่อน

หึ่งหึ่งผึ้งภมร เชยเกสรสุมาลี

 

นิ่งระงับหลับตา อุตส่าห์รักษาอารมณ์

ถึงหอมระรื่นไม่ชื่นชม ตามเพศพรหมจรรย์ เอยฯ

 

 

ช่วงที่ 3 แยกบทเห่กล่าวถึงตัวนางสุวรรณมาลี

เห่เอยพระราชบุตร สินสมุทรมุนี

กับอรุณรัศมี นั่งอยู่ที่หน้าชาลา

 

แย้มสรวลชวนกัน นั่งฉันน้ำชา

พูดเล่นเจรจา กับน้องยานารี

 

แขไขไตรตรัส เรืองจรัสรัศมี

ร่อนเร่ในเมฆี มาตรงที่แกลทอง

 

ถ้าเช่นนี้พี่เหาะได้ จะเหาะไปประคอง

ค่อยสอดกรช้อนตระกอง มาไว้ในห้องไสยา

 

เย็นชื่นดื่นดึก ลืมรำลึกภาวนา

ชวนพระน้องร้องสักวา จนหลงว่าขึ้นดังดัง

 

โอ้ว่าเจ้าการะเกด ขี่ม้าเทศจะไปท้ายวัง

น้องห้ามไว้ก็ไม่ฟัง จะแทงฝรั่งลังกา

 

รู้สึกตัวกลัวกรรม ชักประคำภาวนา

เดือนส่องต้องศิลา ดังจินดาดวงดาว

 

ด้วยเขารุ้งรุ่งเรือง บ้างเขียวเหลืองแวววาว

แวมสว่างพร่างพราว อร่ามราวเพชรพลอย

 

พร่างพร่างน้ำค้างเหยาะ เผาะเผาะผอยผอย

ดาวก็เคลื่อนเดือนก็คล้อย จะเลื่อนลอยลับตา

 

เย็นยะเยียบเงียบสงัด พระพายพัดรำเพยพา

พระเพลินจิตไม่นิทรา แต่น้องยานั้นหลับไป

 

เดือนส่องผ่องเพียง จะแข่งเคียงแขไข

หลับสนิทจะพิศไหน งามวิไลลักขณา

 

นวลหน้าเหมือนการะเกด ดังดวงเนตรของเชษฐา

ถึงนางสวรรค์ชั้นฟ้า ไม่โสภาเทียมนวล

 

ชายใดแม้นได้นุช จะรักสุดแสนสงวน

ยิ้มเยื้อนเหมือนจะชวน ให้รัญจวนใจชาย

 

พิศเพ่งเล็งดูเดือน ละม้ายเหมือนกับเดือนหงาย

ฟ้าขาวดาวประกาย พฤกษาพรายโพยมมาล

 

เสียงดุเหว่าเร่าร้อง เสนาะก้องกังวาน

ไก่กระชั้นขันขาน วิเวกหวานวังเวง

 

เหมหงส์บุหรงร้อง ดังพาทย์ฆ้องประโคมเพลง

กลระฆังก็ดังเอง เสียงเหง่งเหง่งวังเวงใจ

 

ลมว่าวหนาวชื้น หอมระรื่นหฤทัย

งีบระงับหลับใหล ในที่ไสยา เอยฯ

 

 

ช่วงที่ 4 แยกบทเห่กล่าวถึงตัวสินสมุทรและอรุณรัศมี

เห่เอยหน่อกษัตริย์ นางอรุณรัศมี

บวชเล่นเล่นก็เป็นชี กับฤๅษีพี่ยา

 

แอบชะอ้อนนอนเพลา ว่าพระเจ้าป้าจ๋า

พรหมจรรย์จรรยา เขาแปลว่าอันใด

 

พระเจ้าลุงพรุ่งนี้ จะมานีมนต์ไป

หลวงป้าไม่ว่าไร หรือจะไปตามคำ

 

ถามเท่าไรก็ไม่ตรัส สมาบัติบริกรรม

กลัวป้าอุตส่าห์ทำ ชักประคำภาวนา

 

ลืมมนต์เสียหมดสิ้น ด้วยหอมกลิ่นบุปผา

รสสุคนธ์มณฑา มะลิลาลมโชย

 

รื่นรื่นชื่นแช่ม กลิ่นนางแย้มยมโดย

ให้หวิวหวิวหิวโหย ร่วงโรยกำลัง

 

ประหลาดเหลือเมื่อไร จะได้เข้าไปในวัง

เสียงหริ่งหริ่งที่กิ่งรัง ฟังฟังยิ่งวังเวง

 

จักรจั่นสนั่นเสนาะ ดังบัณเฑาะว์ดีดเพลง

กระดึงดังหงั่งเหง่ง ให้วังเวงวิญญา

 

ครั้นเย็นย่ำน้ำค้าง พร้อยพร่างพฤกษา

ลมเชยรำเพยพา ชื่นวิญญาเย็น เอยฯ

 

 

ช่วงที่ 5 ตอนนางละเวงเดินไพร ควบม้าหนีพระอภัย

เห่เอยเห่กล่าว ถึงลูกสาวเจ้าลังกา

โฉมลเวงวัณฬา ทรงอาชามากลางไพร

 

เลี้ยวหลงวงเดิน พนมเนินพนาลัย

แลเหลียวเปลี่ยวใจ วิเวกในดงตาล

 

เห็นแต่สัตว์จัตุบาท มฤคราชแรดฟาน

เสือสิงห์วิ่งทะยาน เสียงสะท้านสะเทือนดัง

 

นางหลีกลัดดัดเดิน แนวเนินพนมวัง

ให้หิวโหยโรยกำลัง จนม้าที่นั่งก็อ่อนแรง

 

แลดูพระสุริย์ฉาย ก็เบี่ยงบ่ายชายแสง

สุดสังเกตเขตแขวง ไม่รู้แห่งหนทาง

 

แลขวาเป็นป่าชัฏ ข้างซ้ายขัดภูเขาขวาง

ล้วนป่าสูงยูงยาง ไปตามหว่างศีขรินทร์

 

เป็นโกรกกรวยห้วยธาร หุบละหานเหวหิน

ฝูงปักษาเที่ยวหากิน บ้างโผบินร่อนเรียง

 

แจ้วแจ้วแก้วพลอด ฉอดฉอดฉ่ำเสียง

กระลุมภูเป็นคู่เคียง เค้าโมงเมียงมองแล

 

ฝูงอิลุ้มคุ่มขาบ กระจิบกระจาบจอแจ

นกออกเอี้ยงเคียงคับแค เสียงซ้อแซ้สนั่นไพร

 

โพรโดกนั้นโอกเสียง เสนาะสำเนียงนกตะไน

กินปลีเปล้าเขาไฟ จับกิ่งไม้มองเมียง

 

ไก่ฟ้าพระยาลอ ขันจ้อแจ้วเสียง

นกอุลอคลอเคียง กะเรียนเรียงรังนาน

 

ฝูงยางกรอกดอกบัว กระเต็นกระตั้วหัวขวาน

เบญจวรรณขันขาน บ้างบินผ่านโผจร

 

คุลาโห่โกกิล นกขมิ้นเหลืองอ่อน

เรียงจับสลับสลอน นางนวลนอนแนบนาง

 

บ้างเวียนวิ่งบนกิ่งไม้ บ้างซุกไซ้ปีกหาง

ชมเพลินเดินพลาง วิเวกวางเวงใจ

 

บาระบูนขุนแผน กระเวนกระแวนระวังไพร

ตัวเขียวเหยี่ยวตะไกร ไล่ลูกไก่เวียนวง

 

ที่เงื้อมเงาเขาสูง แต่ล้วนฝูงเหมหงส์

ปีกเจ้าอ่อนร่อนลง ประสานส่งสำเนียง

 

นกยูงเป็นฝูงฟ้อน เหมือนละครรำเรียง

กรีดกรายชะม้ายเมียง ประสานเสียงสนั่นดัง

 

สาลิกาสุวาที นกโนรีเรียงรัง

เหมือนนกเลี้ยงในเวียงวัง พระเนตรหลั่งหล่อชล

 

โอ้อกระหกระเหิน เคราะห์เผอิญอับจน

ม้าเลี้ยวหลงวงวน ไม่เห็นหนทางไป

 

ป่าระหงดงดึก สะพรั่งพฤกษาไสว

หอมระรื่นชื่นฤทัย ดอกไม้ไพรพนม

 

แก้วกุหลาบอังกาบแกม นางเด็ดแซมมวยผม

สร้อยฟ้าน่าชม ทั้งสุกรมยมโดย

 

บ้างบานตูมเป็นพุ่มพวง บ้างหล่นร่วงกลีบโรย

ทั้งพระพายชายไชย เกสรโปรยปรายมา

 

ทั้งรวยรินอินจันทน์ กะลำพันกฤษณา

เพลินพระทัยไคลคลา จนสุริยาเย็นรอนรอน

 

ครั้นถึงธารสะอ้านสะอาด เขาอังกาศสิงขร

จิ้งจอกออกเห่าหอน ในดงดอนดูมืดมัว

 

เสียงชะนีวิเวกโหวย ละห้อยโหยหาผัว

วังเวงน่าเกรงกลัว แลเห็นตัวอยู่ไรไร

 

เห็นที่แท่นแผ่นผา ที่ไสยาอาศัย

ลงจากม้าคลาไคล เข้านั่งใต้ไทรทอง

 

ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยนัก พระวรพักตร์หม่นหมอง

แล้วทรงเปลื้องสะไบกรอง นางปูรองกายา

 

ค่อยเอนองค์ลงบนอาสน์ พระเศียรพาดแผ่นผา

ให้หิวโหยโรยรา นิ่งนิทราตรอมใจ

 

เสียงจังกรีดกริ่ง หริ่งหริ่งเรไร

เคลิ้มระงับหลับไป ใต้ต้นไทรทอง เอยฯ

 

 

ช่วงที่ 6 ตอนพระอภัยติดท้ายรถนางละเวงและพยายามตามเกี้ยว

เห่เอยเห่บท เดินรถในราตรี

พระอภัยมณี นั่งที่ท้ายรถทรง

 

บุษบกกระจกกระจ่าง เห็นรางรางรูปทรง

คลุมประทมห่มองค์ เห็นแต่วงพักตรา

 

แม่ยอดหญิงพริ้งเพริศ วิลาศเลิศลักขณา

จะสะกิดก็ติดฝา สุดปัญญาสุดอาลัย

 

ยืนยิ้มอยู่ริมรถ รื้อระทดหฤทัย

หรือระงับหลับไหล ทำกระไรจะรู้ความ

 

นิ่งนึกเห็นดึกนัก เวลาก็สักสองยาม

คิดจะใคร่ไถ่ถาม ให้ขามขามในวิญญา

 

ยามประชวรกวนจิต จะเคืองคิดโกรธา

จึงถอยหลังรั้งรา เลียบไปหน้ารถชัย

 

พระถามธิดาสุลาลี พระชนนีเป็นไฉน

เขาบอกว่าหลับก็กลับไป ขึ้นยืนอยู่ใกล้แกลทอง

 

ผลักผลักสลักติด ก็คิดคิดเขม้นมอง

เสียงจังหรีดกระกรีดร้อง นึกว่าน้องจำนรรจา

 

เกาะเกาะพระเคาะแกล เป็นไรนะแม่วัณฬา

พี่มาแล้วนะแก้วตา จะรับรักษาทรามวัย

 

เย็นยะเยียบเงียบสำเนียง ได้ยินแต่เสียงเรไร

เสน่หาอาลัย มิได้ใกล้เคียงองค์

 

กลับมานั่งบังกาย อยู่ที่ท้ายรถทรง

พร่างพร่างกลางดง ต้นรังรงร่มครึม

 

พอเดือนเที่ยงเสียงผึ้ง หึ่งหึ่งระหึม

ทุกเงื้อมเขาเหงางึม ให้เศร้าซึมโศกา

 

พี่อุตส่าห์มาด้วย ก็มิได้ช่วยรักษา

หรือน้องแก้วแววตา สวรรคาลัยไป

 

ไม่ขออยู่จะสู้ม้วย จะตายด้วยแม่ดวงใจ

กอดพระกรถอนฤทัย วิเวกในดงดอน

 

เย็นยะเยียบเงียบสงัด พระพายพัดมาอ่อนอ่อน

รวยรินกลิ่นขจร หอมเกสรสุมาลี

 

ลั่นทมนมสวรรค์ ทั้งอินจันทน์จำปี

สร้อยฟ้าสารภี มลุลีหลายพรรณ

 

ทั้งยมโดยโรยริน ระรื่นกลิ่นมลิวัลย์

เหมือนกลิ่นเนื้อเจือจันทน์ สะอื้นอั้นอาลัย

 

ไฉนดีเจ้าพี่เอ๋ย จะได้เชยให้ชื่นใจ

อุตส่าห์ตามทรามวัย มาจนใกล้กัลยา

 

เพราะฝาติดอยู่นิดเดียว ให้เสียวเสียวเสน่หา

เขม้นมองที่ช่องฝา จะใคร่เห็นหน้าพระน้อง เอยฯ

 

 

ช่วงที่ 7 แยกบทเห่กล่าวถึงพระอภัยมณี พยายามเข้าพบนางละเวง

เห่เอยเห่เพลง โฉมลเวงวัณฬา

ทำหลับไหลไสยา จนล่วงมากลางดง

 

แลเห็นองค์พระอภัย เที่ยวเลียบไต่รถทรง

ทำความเพียรเวียนวง คิดก็สงสารเธอ

 

ช่างซื่อสุดบุรุษใด ไม่มีใครจะเสมอ

ช่างง่วงเหงาเฝ้าละเมอ ช่างไม่เก้อแก่ใจ

 

เห็นประจักษ์ว่ารักจริง สู้ทอดทิ้งทัพชัย

มิตอบถ้อยจะน้อยใจ ครั้นพูดไปจะเป็นทาง

 

ทั้งรักแค้นแสนเสียดาย สะอื้นอายอางขนาง

ทำประชวรครวญคราง จึงถามนางลาลีวัน

 

ถึงไหนแล้วนะแก้วตา แม่หลับมาแต่สายัณห์

เข้าป่าสาลวัน จักรจั่นจับใจ

 

เจ้าแม่เอ๋ยเคยนั่ง จะลุกยังไม่ไหว

ให้กลุ้มกลัดในหทัย เจ็บไข้ก็ไม่เคย

 

ลมว่าวก็เฝ้าพัด หนาวสาหัสแล้วลูกเอ๋ย

กลางไพรใครเลย จะให้เขนยหนุนนอน

 

ทั้งน้ำค้างก็ช่างสาด ใจจะขาดลงรอนรอน

ถึงสุวรรณบรรจถรณ์ จะได้นอนให้อุ่นทรวง

 

ชะกระไรพระจันทร์ ช่างดัดดั้นไปลับดวง

ฤๅลับเงาภูเขาหลวง ไม่โชติช่วงชัชวาลย์

 

แลก็ไม่เห็นหน ช่างมืดมนอนธการ

ดอกไม้ก็ไม่เบิกบาน จะได้สำราญฤทัย

 

เจ้าประดิษฐ์คิดขับ ให้เพราะจับจิตใจ

จะได้ระงับหลับไหล ให้สร่างในทรวง เอยฯ

 

 

ช่วงที่ 8 นางละเวงใจอ่อน และบทเห่นางสุลาลีวัน ยั่วเย้าและเอาใจช่วยพระอภัย

เห่เอยธิดา โฉมสุลาลีวัน

รับสั่งบังคมคัล ขึ้นนั่งบนชั้นเกรินทอง

 

แกล้งประดิษฐ์คิดคำ ขับลำนำทำนอง

โอ้ยามค่ำย่ำฆ้อง ให้มัวหมองในวิญญา

 

จะแลชมพนมพนัส ไม่ถนัดนัยนา

ช่างมืดมิดทุกทิศา มืดทั้งฟ้าดินดง

 

โอ้ว่าพระศศิธร ช่างลอยร่อนรถทรง

แจ่มกระจ่างสว่างวง ส่องที่ตรงแกลทอง

 

เห็นพักตราหล้าโลก จะส่างโศกเศร้าหมอง

โหยหวนนวลละออง มณฑาทองที่ต้องใจ

 

ภุมรินบินค้อยค้อย มาเชยสร้อยสุมาลัย

มืดในก็จนใจ เที่ยวเลียบไต่ตอมดวง

 

โอ้เอ็นดูแมงภู่น้อย ให้เศร้าสร้อยโศกทรวง

ด้วยกลีบหุ้มพุ่มพวง ไม่โรยร่วงรสสุคนธ์

 

ขอเทวัญในชั้นฟ้า ทั้งเทวดาเดินหน

ช่วยโปรยปรายสายฝน ให้อุบลแบ่งบาน

 

ลมโชยระโรยกลิ่น หอมกระถินพิมาน

มณฑาผกากาญจน์ มาซาบซ่านทรวงเย็น

 

หอมประดู่อยู่ใกล้ใกล้ แลก็ไม่ใคร่เห็น

น้ำค้างพร่างสาดกระเซ็น ยะเยือกเย็นพะยอมไพร

 

หนาวลมจะห่มผ้า หนาวน้ำฟ้าจะผิงไฟ

หนาวทรวงนะดวงใจ เศร้าฤทัยระทวยทรง

 

ถึงเสื้อสวมนวมหุ้ม ไม่เหมือนอุ้มแอบองค์

หอมดอกไม้ที่ในดง ไม่เหมือนทรงสุคนธา

 

แป้งสดรสรื่น ไม่หอมชื่นในนาสา

เห็นอื่นอื่นไม่ชื่นตา เหมือนได้เห็นหน้าพระน้อง เอยฯ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

  • เว็บไซต์สุนทรภู่ ณ ไทยดอทเน็ต
  • ระยองโซนดอทเน็ต
  • เว็บไซต์โรงเรียนเสสะเวชวิทยา