อิระวดีในความทรงจำ
สมาชิกเลขที่38177 | 09 ก.ค. 54
1.9K views

เมื่อนึกย้อนถึงวันข้ามฟากแม่น้ำ”อิระวดี”ครั้งนั้น ผู้เขียนยังจำความรู้สึกตื่นเต้นปนหวาดเสียวพร้อมๆกับดื่มด่ำในบรรยากาศแปลกๆที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

คืนนั้น ท้องน้ำและท้องฟ้ามืดสนิท เรือของโรงแรม”เอย่าร์”ที่มารับคณะเดินทางของเราข้ามฟากไปยังโรงแรมเป็นเรือขนาดกลางชั้นเดียว มีที่นั่งกลางแจ้งสำหรับชมทิวทัศน์ คณะของเราส่วนใหญ่สมัครใจเข้ามานั่งในร่มเพื่อหลบละอองฝนที่พร่างพรมลงมาประปราย เวลาประมาณ 3 ทุ่ม บนเรือไม่มีแสงสว่างใดๆนอกจากแสงไฟฉายดวงเล็กดวงเดียวจากมือของพนักงานโรงแรมประจำเรือ พวกเราซึ่งสมบุกสมบันกับการเดินทางมาตลอด4-5วันต่างก็นั่งเงียบกริบ ทั้งหิว เหนื่อยและหนาว ไม่มีใครรู้ว่าการข้ามฟากเที่ยวนี้จะกินเวลายาวนานแค่ไหน แต่ท่ามกลางบรรยากาศมืดมิดแต่ละคนก็นั่งคิดไปต่างๆนานา ตอนหลังเรามานั่งคุยกันก็พบว่าเรากลัวเหมือนๆกันเลยว่าหากมีเรือลำอื่นแล่นสวนทางมา แล้วชนกันกลางลำน้ำ จะเป็นอย่างไร ในเมื่อเรือลำของเราไม่มีไฟบอกสัญญาณ ท้องน้ำก็มืดสนิท ผู้เขียนนึกถึงเนื้อเพลง”ผู้ชนะสิบทิศ”ตอนหนึ่ง


ฟ้าลุ่มอิระวดี                               คืนนี้มีแต่ดาว

แจ่มแสงแวววาว                          เด่นอะคร้าวสว่างไสว”

เนื้อเพลงออกจะสว่างไสวแต่ของจริงทำไมมันมืดอย่างนี้หว่า จริงๆแล้วเรากะระยะทางไม่ถูก นึกว่าเหมือนข้ามฟากท่าพระจันทร์-ศิริราชในบ้านเรา แต่ที่ไหนได้ ใช้เวลาเกือบๆ2 ชั่วโมง มาทราบตอนหลังว่าเรือแล่นทวนกระแสน้ำ เมื่อถึงท่าน้ำของโรงแรมเราก็ได้รับการต้อนรับอย่างน่าประทับใจจากวงดนตรีพื้นเมืองของทางโรงแรม คืนนั้นเราได้นอนในโรงแรมที่สวยที่สุดเท่าที่เคยพักมาตลอดการเดินทางเที่ยวนี้ คิดแล้วก็คุ้มกับความหวั่นวิตกขณะนั่งเรือ ดูๆเหมือนพลอตเรื่องสั้นหักมุมไม่มีผิดเลย

ขอเล่าย้อนไปว่าเหตุใดคณะของเราจึงมาข้ามฟากอิระวดีตอน2-3ทุ่ม ความจริงแล้วช่วงเวลา7-8วันชองการทัวร์พม่าเที่ยวนั้น เราเข้าที่พักค่ำมืดทุกวันจนเป็นเรื่องเคยชิน คณะของเราเดินทางโดยใช้รถปรับอากาศกลางใหม่ค่อนไปทางเก่า แล่นไปบนถนนขรุขระแฮนด์เมดระหว่างเมืองต่างๆในพม่า เส้นทางระหว่างเมืองส่วนใหญ่ระยะทางยาวมาก ภายหลังเมื่อมาศึกษารายการทัวร์พม่าทั่วๆไปพบว่าส่วนใหญ่จะเดินทางทางเครื่องบิน เพื่อประหยัดเวลา แต่สำหรับคณะของเรา สภาพของรถ ถนนรวมทั้งกฎจราจรแบบตามใจฉันทำให้ต้องบวกระยะเวลาการเดินทางให้ยาวขึ้นไปอีกเท่าตัว


ข้อดีของการเดินทางทางรถยนต์ในพม่าคือ เรามีโอกาสได้แวะสัมผัสภูมิประเทศ ชมชีวิตชาวบ้านระหว่างเส้นทาง เวลาเราแวะปั๊มเพื่อเข้าห้องน้ำ พูดโก้ๆไปอย่างนั้นเอง จริงๆแล้วเราแวะเข้าห้องน้ำตามบ้านของชาวบ้านตามเส้นทาง ห้องน้ำเล็กๆแคบๆสร้างจากไม้ตาล ไม้เก่าๆ ไม้ไผ่สาน หลังคามุงจาก ส้วมหลุมบ้าง ส้วมซึมบ้าง

เหมือนตามชนบททั่วไป แต่”ยามไร้เด็ดดอกหญ้าแซมผม” คณะของเราซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุภาพสตรีวัยใกล้ทองและทองก็จะพากันวิ่งแจ้นไปเข้าคิวรอเข้าห้องน้ำตามประสาผู้มีวัฒนธรรมอันดี

จนอยู่มาวันหนึ่ง เกิดเหตุไม่คาดฝันที่ห้องน้ำกลางทุ่งหลังเพิงขายสินค้าข้างทาง ขณะที่สาวสวยประจำคณะของเรากำลังหย่อนกายปล่อยทุกข์เบาอยู่นั้น ห้องน้ำเบี้ยวๆบูดๆโย้เย้ก็มีอันพังครืนลงมา ต้องวื่งหนีกันจ้าละหวั่น กลายเป็นเรื่องขำขันประจำคณะทัวร์ที่เฮฮากันไม่รู้จบ

ตัวผู้เขียนเองยอมรับสารภาพว่า”เก็บดอกไม้”ครั้งแรกในชีวิตที่นี่แหละ วันหนึ่งรถที่ใช้งานมาอย่างโชกโชนเกิดเสีย ขณะที่คนขับรถและผู้ช่วยกำลังซ่อมรถซึ่งกินเวลานานมาก สองข้างทางมืดมิด พวกเราลงมานั่งอยู่ข้างถนน เพื่อนๆคงสงสารผู้เขียนที่อั้นหน้าเขียวมา2 ชั่วโมงแล้ว เลยเชียร์ว่าไปเก็บดอกไม้เถิด อย่าอดทนเลยไม่

รู้จะถึงที่พักเมื่อไหร่ จึงเข้าไปในป่าละเมาะข้างทาง ดีว่ามืดมากจนไม่เห็นอะไรเลย เสร็จธุระเราชวนกันไปนั่งที่บ้านชาวบ้านริมถนน ไม่มีไฟฟ้าเขาก็อยู่กันมืดๆไม่จุดเทียนหรือตะเกียงด้วย ความบริสุทธิ์และมีน้ำใจของเขาคือเขายิ้มแย้มให้เราอย่างมีไมตรีจิต แม้ว่าจะพูดกันไม่รู้เรื่อง เราพูดได้แค่เม็งกะลาบาเช(สวัสดี)เท่านั้นเอง

เราเห็นเขาใจดีน่ารักก็เลยถือวิสาสะไปนั่งบนเก้าอี้โยกทำจากไม้ตาลหน้าบ้านเขา นั่งยิ้มฟันขาวมองตากันไปมองตากันมาท่ามกลางความมืด ผู้เขียนอดนึกถึงบ้านใส่เหล็กดัดที่ประตูหน้าต่าง แถมด้วยกำแพงสูงท่วมหัวที่บ้านเราไม่ได้ ถ้าเป็นที่บ้านเราคงไม่มีชาวบ้านที่ไหนกล้ารับคนแปลกหน้าเข้ามานั่งคุยหน้าบ้านตอนมืดตึดตื๋ออย่างนี้ กลัวตกเป็นข่าวหน้า1

ผลพลอยได้จากรถเสียอีกครั้งหนึ่งคือวันที่เราเดินทางไป”โพวินต่อง” ต้องลงเรือแล้วมาต่อรถ2แถว ระยะทางไกลมากเราแยกนั่งรถคันละประมาณ10คน ปรากฎว่ารถคันที่เรานั่งเกิดเสียกลางทาง พวกเราไม่รอช้า เข้าไปในบ้านชาวบ้านแถวนั้น จึงได้เห็นกรรมวิธีทำน้ำตาลขนานแท้และดั้งเดิม การตั้งกระทะเคี่ยวไปจนถึงการหยอดน้ำตาล แล้วก็ซื้อน้ำตาลปึกแท้ๆกลับมาคนละหลายถุง เรื่องรถเสียเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคณะนี้ ทราบจากไกด์ว่าที่นี่เขาใช้น้ำมันที่สูบจากบ่อของเขาเอง วิธีการสูบและกลั่นใช้ภูมิปัญญาของเขาโดยไม่พึ่งต่างชาติ รถแต่ละคันจะมีถังน้ำมันสำรองเติมเองและซ่อมรถเองเมื่อมีปัญหา

จุดพักรถเพื่อทำภารกิจส่วนตัวแต่ละแห่งเราก็จะพบสินค้าแปลกๆเช่นครั้งหนึ่งผู้เขียนพบว่ามีการขายนกทอดใส่ถาดแบกมา มีทั้งนกขนาดใหญ่และเล็ก นกตัวใหญ่ยังมีปากแหลมๆให้เห็น ในแดนพุกามเราพบตระกร้าสานจากไม้ตาล ขนาดใหญ่ ราคาถูกจนเราสะดุ้ง เวลาเราชอปปิ้งตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จะได้รับการต้อนรับจากผู้ขายอย่างดีเยี่ยม บางที ต่อรองราคาอยู่ดีๆก็ขอแลกเฟอร์นิเจอร์ส่วนตัวของเรา เช่นนาฬิกาข้อมือ

ปากกาหมืกซึม ได้ทราบว่าของพวกนี้หาได้ยากมากในบ้านเขา หากใครจะไปเยือนพม่าอย่าลืมเตรียมปากกาลูกลื่น ทอฟฟึ่ไปแจกเด็กๆรับรองว่าท่านจะปลื้มใจกับความยินดีของเขาจนลืมไม่ลงเชียวแหละ

เมื่อย้อนระลึกถึง การเดินทางครั้งนั้น ผู้เขียนยังประทับใจไม่รู้ลืมกับชีวิตเรียบง่าย สมถะ และสงบของเขาที่ต่างกันลิบลับกับโลกวัตถุนิยมแบบบ้านเราเหมือนอยู่คนละโลก บางครั้ง การมองดูและสัมผัสสังคมอื่นๆทำให้เราได้หยุดและหันมาพิจารณาชีวิตตัวเองบ้างว่าเราน่าจะเพียงพอได้หรือยัง





Share this